ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคประชาชาติ อภิปรายตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2563 มีมติเห็นชอบร่างสัญญาระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ขั้นที่ 2 ออกไปอีก 15 ปี 8 เดือน เพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างกัน
กระทั่ง ศาลปกครองสูงสุดจะมีการรับฟ้องและมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 2 มี.ค 2564 ว่า ผู้ถูกฟ้องทั้ง 6 คน คือคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายอันมีผลบังคับให้หน่วยงานต้องปฏิบัติตามมิใช่เป็นการกำหนดแนวทางภายในตามแนวทางการปกครอง
การใช้อำนาจมิทำให้โครงการทางด่วนต้องตกเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ขณะที่ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภควันนี้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย รัฐบาลมีการเอาทรัพย์สินกว่าแสนล้านไปประนีประนอม
ทั้งที่สำนักงานตรวจเงินแผ้นดิน(สตง.)ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การประนีประนอมเป็นการยอมรับสภาพหนี้ ถือเป็นการใช้ตรรกะวิบัติ ขณะที่ศาลฎีกายังเคยพิพากษาไว้ว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการดำเนินการโดยไม่สุจริต
การตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึง ครม.จึงไม่ได้นึกถึงความผาสุขของประชาชน เป็นการใช้อำนาจทางการปกครองเบ็ดเสร็จ ใช้อำนาจแฝงโดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย
พ.ต.อ.ทวี อภิปรายต่อว่า สิ่งที่อยากถามไปยังนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่เป็นการบริหารราชการร่วมกันว่า ทำไมรัฐมนตรีคมนาคมจึงไม่ปฏิบัติแล้วบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดทั้งที่ศาลได้ตัดสินแล้วว่า เป็นสาธารณะของแผ่นดินแต่กลับไม่มีการระบุในระบบราชการ
สิ่งที่คณะรัฐมนตรีต้องทำคือต้องทำตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายสิ่งที่รัฐมนตรีและครม.ต้องไม่ทำคือต้องไม่ทุจริต ต้องไม่ดำเนินการที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องไม่เห็นประโยชย์ส่วนตัวสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนรวม
ทั้งยังยืนยันว่า การอภิปรายของตนในครั้งนี้เป็นเรื่องใหม่และเป็นข้อมูลที่การรถไฟส่งมาให้จึงอยากสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวในเรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะจนถึงขณะนี้ยังพบว่า มีรัฐมนตรีในรัฐบาลบางคนไปรุกที่ สปก.กว่า 1 พันไร่