วันนี้ ( 11 พ.ค. 66) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวภายหลังเข้ารับฟังคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีตนเองได้ยื่นฟ้อง กกต.และสำนักงาน กกต. ที่มีมติเลิกจ้างก่อนครบสัญญาจ้าง และออกประกาศกกต. ลงวันที่ 8 ธ.ค. 58 ให้พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ กกต. ว่า ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นว่า เป็นการเลิกจ้างโดยไม่ชอบด้วยสัญญาจ้าง
เพราะการที่คณะอนุกรรมการเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานซึ่งเป็นของกกต. นำหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานที่กำหนดขึ้นใหม่ โดยตนไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย มาประเมินผลการทำงานของตน เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยสัญญาจ้าง และให้กกต.ชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้กับตนเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด
“เราต่อสู้ว่า การให้เราพ้น หรือ ปลดจากเลขาธิการ กกต. เมื่อปี 58 ไม่เป็นธรรม สู้ตั้งแต่ 8 ธ.ค. 58 จนปัจจุบัน จริงๆ แล้วคือ กกต.ไม่ได้ทำตามสัญญา และที่ตลกมากคือ สิ่งที่เอามาประเมินผม มาบอกผมเมื่อเริ่มการประเมินไปแล้ว และเหลือเวลาอีก 8 เดือน ผมก็จะเกษียณแล้ว
โดยเมื่อถึงเวลาประเมินก็เรียกหลายคนมาประเมินว่า เลขาฯ กกต.มีข้อผิดพลาดเรื่องจรรยาบรรณ แล้วผมก็ได้ศูนย์ และเมื่อรวมคะแนนแล้วผมได้คะแนน 54.60 จากที่เคยประเมินมา 4-5 ครั้ง ผมจึงมาต่อสู้ทางศาล
ขณะที่ต่อสู้ อดีต กกต. ก็ไปฟ้องคดีหมิ่นประมาท กล่าวหาผมไปว่าให้เสียหาย แต่ในที่สุดท่านก็ต้องถอนคดีเอง เพราะว่าท่านผิดเอง ในเรื่องการฟ้องร้องต่างๆ มาวันนี้ 8 ปี เกียรติยศของอดีตเลขาธิการ กกต. ซึ่งอยู่มาตั้งแต่ปี 41 และมันหมดไปแล้วได้กลับคืนมาแล้ว ซึ่งดีใจมาก เพราะรอมา 8 ปี ต้องขอขอบคุณศาลปกครองที่ให้ความยุติธรรม” นายภุชงค์ กล่าว และว่า ส่วนจะดำเนินการกับอดีตกกต.ที่ทำให้เสียหายอย่างไรอยู่ในระหว่างการพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายภุชงค์ ถูกกกต.ชุดที่มี นายศุภชัย สมเจริญ เป็นประธาน มีมติ และประกาศเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 58 เลิกจ้าง นายภุชงค์ พร้อมกับให้พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ กกต.
โดยให้เหตุผลการเลิกจ้างว่า เนื่องจาก นายภุชงค์ มีผลการประเมินการปฏิบัติงานปีงบประมาณ 58 ไม่บรรลุเป้าหมาย ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการต่อสัญญา ซึ่ง นายภุชงค์ เห็นว่า มติดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่สัญญาจ้างกำหนด จึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนมติและประกาศ กกต. เรื่องให้เลขาธิการกกต.พ้นจากตำแหน่ง ลงวันที่ 8 ธ.ค. 58 รวมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายเงิน 7.06 ล้านบาท