จุดยืนแม่ทัพภาค 4 กรณีประชามติแบ่งแยกดินแดน

13 มิ.ย. 2566 | 08:50 น.

จุดยืนแม่ทัพภาคที่ 4 "พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค" ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ให้สัมภาษณ์กรณีขบวนนักศึกษาแห่งชาติจัดปาฐกถาพิเศษและจัดทำประชามติการกำหนดอนาคตตนเองเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.66

จากกรณีขบวนการนักศึกษาแห่งชาติจัดปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "การกำหนดอนาคตตนเอง" เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 66 ที่ผ่านมาโดยภายในงานได้มีการจัดพิมพ์บัตรเพื่อลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชออกจากประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมายนั้น 

ล่าสุด พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สัมภาษณ์ผ่านศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าเป็นคลิปความยาวประมาณ 6-7 นาทีซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 

 

พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4

 

สำหรับกรณีขบวนนักศึกษาแห่งชาติที่ได้มีการจัดงานเปิดตัวเมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมาและภายในงานได้มีการจัดพิมพ์บัตรเพื่อลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชออกจากประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมายต่อกรณีนี้มีความเห็นอย่างไรบ้าง ?

ผมได้ตรวจสอบดูในเรื่องของการประชุมในวันนั้นทั้งหมดตั้งแต่เริ่มมีการเปิดประชุมต่าง ๆ นั่งฟังและได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ ฝ่ายกฎหมาย สอบถามอัยการ สอบถามทุกส่วนครับ

มีแนวโน้มว่าจะหมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมายซึ่งได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ลองตรวจสอบดูในเรื่องของการจัดสัมมนาจัดประชุมในวันนั้นของกลุ่มนักศึกษาในวันนั้นด้วยว่า เราจะต้องทำกันอย่างไรบ้างเพราะเรื่องนี้ผมได้เน้นย้ำทุกส่วนว่า จะต้องหาพยานหลักฐานและความชัดเจนและต้องรัดกุมและต้องรอบคอบ

ได้บอกทุกส่วนแล้วว่า จะต้องทำไปอย่างตรงไปตรงมาซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับมานั้น ค่อนข้างที่จะสุ่มเสี่ยงไปในทางที่ผิดกฎหมายโดยเฉพาะในเรื่องของมาตราที่ 1 เรื่องของประเทศไทยเป็นเอกราชที่ไม่สามารถที่จะแบ่งแยกได้

ตรงนี้ได้พยายามเน้นย้ำเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากซึ่งกระทบไปกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกระทบต่อจิตใจพี่น้องประชาชนคนไทยทั้ง 77 ล้านคนที่อยู่ในพื้นที่และนอกพื้นที่ด้วยซึ่งตรงนี้ผมพยายามที่จะทำให้ดีที่สุด พยายามที่จะทำให้ถูกต้องโดยยึดหลักของความเป็นธรรม ยึดหลักของความยุติธรรมในเรื่องนี้

 

สำหรับวันนี้ได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ในประเด็นดังกล่าวทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าได้สนับสนุนข้อมูลรวมทั้งเสนอแนวทางต่อปัญหานี้อย่างไรบ้าง ?

ผมให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วนทั้งฝ่ายข่าวเรา ทหารเราได้รวบรวมข้อมูลในเรื่องของการประชุมในวันนั้นว่ามีส่วนที่เกี่ยวข้องมีใครบ้างซึ่งเรื่องนี้ได้คุยกับท่านเลขา สมช.ว่า พยายามรวบรวมข้อมูลที่เราได้ทั้งหมดให้กับคณะ สมช. ซึ่งก็ได้ส่งไปแล้ว ส่งทั้งเรื่องข้อมูลและหลักฐาน และการวิเคราะห์ต่าง ๆ ทั้งความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้ต่าง ๆเหล่านี้ให้กับทาง สมช. ได้มีการประชุม 

ทางผมเองก็ดูว่าทางสมช.ได้มีการประชุมอย่างไรบ้าง และก็ต้องดูทางรัฐบาล เราจะทำทุกวิถีทางให้เข้าใจทั้งสองฝ่าย ผมมั่นใจว่าที่เราอยู่ทุกวันนี้ เราคือคนไทยด้วยกัน อาจจะมีการเข้าใจผิดกันบ้างเล็กน้อยซึ่งก็นำข้อมูลที่ทางสมช.จะได้รับรู้รับทราบไปก่อนล่วงหน้าแล้วครับ

 

ในส่วนของการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนรวมทั้งแนวทางการดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ร่วมกิจกรรมและผู้ที่เข้าข่ายร่วมกระทำผิดในครั้งนี้จะมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง ?

ผมต้องดูก่อนเพราะในวันนั้นมีทั้งเยาวชน มีทั้งพรรคการเมือง มีทั้งคนที่รู้จักในแวดวงต่าง ๆ ในพื้นที่ในวันนั้นซึ่งตรงนี้มีหลักฐานชัดเจนว่าใครอยู่บ้าง ใครไม่อยู่บ้าง 

อันดับแรกคือ เรื่องของเยาวชนซึ่งผมมั่นใจว่าเยาวชนอาจจะฟังในสิ่งที่ผิด ๆ มา หรืออาจจะมีคนชักชวน ชักจูง ซึ่งเยาวชนบางครั้งนั้นในการตัดสินใจต่าง ๆ ยังไม่มีการตัดสินใจที่ชัดเจน

บางครั้งได้รับการยุยงส่งเสริมในสิ่งที่ผิดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยลำพัง อารมณ์ของคนวัยรุ่นมักจะคล้อยตาม เชื่อตามในสิ่งที่เข้ามา ณ ตอนนั้นทำให้เกิดการหลงผิดบ้างซึ่งเราต้องแยกแยะให้ออก ทั้งทางหลักนิติศาสตร์ หลักต่าง ๆ พวกนี้เข้ามาช่วยด้วยซึ่งเราต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง คือ กลุ่มเยาวชนต่าง ๆ ได้รับทราบได้เข้าใจว่า เหตุผลที่ทำนั้นมันผิดหรือถูก ผิดอย่างไร จะมีกรณีหรือเคสใดบ้างที่เข้าข่ายตรงนี้ 

ส่วนผู้ที่ชักจูงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยู่ในพื้นที่สามารถที่จะชักชวน ชักจูงให้มาทำลักษณะเช่นนี้เราก็ต้องหาข้อมูลหาพยานหลักฐานและก็ต้องดำเนินคดี ผมมั่นใจว่า เรื่องนี้เคสนี้เมื่อผิดจริงต้องดำเนินคดี

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นได้บอกกับทุกภาคส่วนแล้วว่า ต้องทำอย่างรอบคอบและรัดกุมจริง ๆ เราต้องป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยที่เราต้องมีการชี้แจงและทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนซึ่งผมก็ทราบดีว่า กระแส ณ ปัจจุบันนี้กระแสได้ตีกลับมาว่า เรื่องการที่จะลงประชามติแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ในพื้นที่ ผมไปดูแล้วว่าไม่มีทางทำได้เพราะประชาชนส่วนใหญ่นั้นไม่ต้องการ นี่คือประเทศไทย 

เรื่องนี้ผมก็ได้ รองปราโมทย์ พรหมอินทร์ (พล.ต. ปราโมทย์ พรหมอินทร์) ซึ่งท่านเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 (รอง มทภ.4) และเป็นรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภาคที่ 4 ส่วนหน้า (รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน.) ซึ่งให้ได้ให้ท่านได้ดำเนินการชี้แจงเน้นย้ำทั้งดำเนินคดีกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง

ผมพยายามจะให้ประสานทั้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ส่วนต่าง ๆ เข้าเป็นต้นเรื่อง เราเป็นเพียงให้ข้อมูลให้กับส่วนต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด ให้รองปราโมทย์ เป็นคนดำเนินการซึ่งผมได้บอกข้อมูลให้กับรองปราโมทย์ไปหมดแล้วว่า เราต้องทำความถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วน ชี้แจงและทำความเข้าใจให้กับทุกส่วนว่า สิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด สิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่หลงผิดเข้าไปในกลุ่มนั้นซึ่งผมมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนจะเข้าใจในส่วนนี้ด้วย ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก 

ขอฝากพี่น้องประชาชนช่วยดูบุตรหลานของท่านไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ หรือ มุสลิม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม นี่คือประเทศไทยไม่สามารถที่จะแบ่งแยกได้เพราะว่าเรามีองค์พระประมุขที่จะดูแลความสำคัญกับพี่น้องประชาชนทุกส่วน ขอให้เน้นย้ำเยาวชนและลูกหลานของท่านให้ดีด้วยนะครับ