ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ส.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ออกคำชี้แจงแก้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง ระบุว่า
ตามที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โพสต์ข้อความว่า “คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของ กกต. มีมติยกคำร้องในคดีอาญา มาตรา 151 ตามข้อกล่าวหาว่า รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือ ทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมือง เสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ .....”
จากกรณีที่เป็นข่าวว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ กกต.จึงได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อพิจารณาว่าฝ่าฝืนมาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 (พรป.ส.ส.) หรือไม่ประการใด นั้น
กกต.ขอชี้แจงว่า ในการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 3 ราย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กกต. กล่าวหาว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น อันเป็นกิจการสื่อมวลชน เชื่อว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน
แต่คำร้องดังกล่าวยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติ กกต. จึงมีมติสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวทั้งหมดไว้พิจารณา แต่เมื่อ กกต. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า รายละเอียดที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของผู้ยื่นคำร้อง มีเหตุอันควรเชื่อว่า นายพิธา อาจจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. โดยมีเหตุอันควรสงสัย หรือ ความปรากฏ
จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนฯ ให้เป็นไปตามมาตรา 151 พรป.ส.ส. ว่า นายพิธา กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด
ขณะนี้การดำเนินการสืบสวนไต่สวนยังไม่เสร็จสิ้นและได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยอยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนไต่สวนเป็นไปตามลำดับชั้นตามระเบียบและกฎหมาย หลังจากนั้น จะได้นำเสนอข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและความเห็นต่อ กกต. ให้เป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป
โดยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทำให้ นายพิธา มีสมาชิกภาพเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่ปรากฏว่า กกต.ได้พิจารณามีข้อเท็จจริงและมีเหตุอันควรสงสัย หรือ ความปรากฏ เชื่อได้ว่า นายพิธา อาจเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามมาตรา 98 (3) อันเนื่องมาจากการเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) อาจมีผลทำให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายพิธา ต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (6) แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน
ดังนั้น จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความเห็น เสนอต่อ กกต. ให้พิจารณาสั่งการต่อไป
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. ของ นายพิธา อาจมีเหตุสิ้นสุดลง จึงเสนอความเห็นต่อ กกต.ให้มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันต่อไป
กกต. ขอชี้แจงว่า คณะกรรมการฯ ตามที่ได้รับแต่งตั้งจาก กกต. จำนวน 2 คณะ เป็นผู้ที่มีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงภายใต้การบังคับบัญชาซึ่งกันและกัน
ดังนั้น คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จะมีความเห็นเป็นเช่นใด ถือได้ว่าเป็นดุลยพินิจแห่งตนโดยแท้ อันเป็นความเห็นเบื้องต้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสืบสวนและไต่สวนเท่านั้น โดยจะมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอีกหลายขั้นตอน
กระบวนการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หลังจากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายแล้วจะนำเสนอความเห็นต่อ กกต. พิจารณาในลำดับสุดท้าย
การพิจารณาเสนอความเห็นว่า นายพิธา กระทำความผิดตามมาตรา 151 พรป.ส.ส. หรือไม่ กกต. จะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินคดีอาญากับ นายพิธา หรือไม่ ประการใด อันเป็นหลักประกันว่าบุคคลจะได้รับโทษในทางอาญา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย มาต่อสู้และหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น
สำหรับการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายพิธา มีเหตุต้องสิ้นสุดลง เป็นการดำเนินการตามมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน เป็นระบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้อำนาจดังกล่าว ที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาพยานหลักฐานจากแหล่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง กกต. ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการให้คดีที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปในทางหนึ่งทางใดตามที่ กกต. ต้องการ
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของนายพิธา เฉพาะตน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร
ดังนั้น กระบวนการในการดำเนินคดีอาญาตาม มาตรา 151 พรป.ส.ส. ต่อ นายพิธา จึงยังไม่เสร็จสิ้น หรือ มีผลเป็นที่สุดเด็ดขาด กกต. จึงไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือจงใจที่จะทำให้นายพิธา ต้องได้รับโทษตามกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น
การนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณชน อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่ากระบวนการตามมาตรา 151 พรป.ส.ส. เป็นกระบวนการเดียวกันกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 82 แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน
จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวดังกล่าวข้างต้น