รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 จากพรรคเพื่อไทย นำทีมคณะรัฐมตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ระหว่างวันที่ 11-12 ก.ย. 2566 ผ่านพ้นไปด้วยดี
โดยนโยบายเร่งด่วนที่นายกรัฐมนตรี แถลง ประกอบด้วย 1.การแก้ไขปัญหาหนี้สินผ่านมาตรการพักหนี้เกษตรกร ประคองภาระหนี้สิน และต้นทุนการเงินของประชาชน และ SMEs
2.ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับเหมาะสมทันที
3.สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ปรับปรุงสนามบินทั่วประเทศ
และ 4.แก้รัฐธรรมนูญ 2560 โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่แก้ในหมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างหลักนิติธรรมให้ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือ
ไฮไลต์สำคัญคือ นโยบายระยะสั้น ด้วยดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“เศรษฐา”ลุยปฏิบัติภารกิจ
ภายหลังการแถลงนโยบายผ่านพ้นไปแล้ว “รัฐบาลเศรษฐา 1” ก็สามารถเดินหน้าบริหารประเทศได้อย่างเต็มตัว ซึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ก็ได้วางคิวปฏิบัติภารกิจไว้ยาวเหยียดในช่วงเดือน ก.ย.นี้
ในวันที่ 13 ก.ย. 66 นายเศรษฐา เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการครั้งแรก จากนั้นในวันที่ 14 ก.ย. มีรายงานว่า นายเศรษฐา จะเดินทางเข้าไปยังกระทรวงการคลัง ในฐานะ รมว.คลัง เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพบปะผู้บริหารกระทรวง
นอกจากนี้ นายกฯ ได้กำหนดแผนการทำงานไว้คร่าวๆ ว่าจะลงพื้นที่ต่างจังหวัด 2 สัปดาห์ 1 ครั้ง เพื่อไปพบปะประชาชนพร้อมรับฟังปัญหา และคำแนะนำต่างๆ โดยระหว่างวันที่ 15 - 17 ก.ย. นายกฯ มีกำหนดลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนที่ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่
เริ่มต้นจาก ในวันที่ 15 ก.ย. เดินทางไปยัง อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาในพื้นที่ ที่ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่หนึ่ง อ.แม่สาย นอกจากนี้ จะได้พูดคุยในเรื่องของการค้าชายแดนและยาเสพติด รวมทั้งจะได้พบปะพูดคุยกับกลุ่มชาติพันธุ์ ถึงการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลไร้สัญชาติ อาทิ เรื่องของสิทธิการศึกษา สิทธิการรักษาพยาบาล สิทธิในที่ดินทำกิน และด้านอื่นๆ
ถัดมา วันเสาร์ที่ 16 ก.ย. นายกฯ มีกำหนดเยี่ยมชมโครงการอุโมงค์ผันน้ำ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เพื่อตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร และอุปโภคบริโภค ก่อนที่จะเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อดูการบริหารจัดการที่ดิน การพัฒนาอาชีพ
จากนั้น นายกฯ และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข จะตรวจเยี่ยมดูงานด้านสาธารณสุขปฐมภูมิ ก่อนที่จะพบปะคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อพูดคุยเรื่องเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ระบบขนส่งคมนาคม สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยในช่วงค่ำวันเดียวกันนายกฯจะถือโอกาสเดินตลาดถนนคนเดินบัวลาย
ขณะที่เช้าวันอาทิตย์ที่ 17 ก.ย. นายกฯ จะสักการะอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เกจิอาจารย์ชื่อดังของชาวเชียงใหม่ และก่อนเดินทางกลับ นายกฯ จะพบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานเชียงใหม่ เพื่อหารือเกี่ยวกับการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืนในการรับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และจะเดินทางกลับในช่วงเที่ยงของวันเดียวกัน
นอกจากนั้น วันเดียวกัน ยังมีรายงานว่า ในช่วงบ่าย นายกฯ จะประชุมหารือเรื่องปัญหายาเสพติด รวมทั้งเป็นประธานในการเผาทำลายของกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู หรือ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน
ส่วนในช่วงเช้าวันที่ 18 ก.ย. นายกฯ จะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งเลื่อนมาจากวันอังคารที่ 19 ก.ย. เนื่องจากวันที่ 18 - 22 ก.ย.นายกฯ พร้อมด้วย นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ จะเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และหลังเดินทางกลับประเทศไทย ในวันที่ 29 ก.ย.นายกฯ มีกำหนดการลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เพื่อปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง
“เศรษฐา”ลุยพื้นที่เพื่อไทย
สำหรับจังหวัดเชียงราย ที่ นายเศรษฐา จะเดินสายลงพื้นที่นั้น ถือเป็นพื้นที่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทย ได้ส.ส. 5 เขต พรรคอนาคตใหม่ ได้ 2 เขต แต่มาในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทย สามารถกวาด ส.ส. มาได้แค่ 4 เขตเท่านั้น ขณะที่ ก้าวไกล แย่งไปได้ 3 เขต
ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ในการเลือกตั้ง ปี 2562 พรรคเพื่อไทย กวาดเรียบทั้งจังหวัด 9 เขต แต่มาเลือกตั้ง ปี 2566 ปรากฏว่า พรรคก้าวไกล กระแสแรงเกินต้าน ชนะเลือกตั้งถึง 7 ใน 10 เขต ส่วนพรรคเพื่อไทยแชมป์เก่า ได้เพียง 2 เขตเท่านั้น คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เขต 5 และ นางสาวศรีโสภา โกฏคำลือ เขต 10 ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ คว้าได้ 1 เขต
ประเดิมลุยพื้นที่อีสาน
ก่อนหน้านั้น ช่วงวันที่ 8-9 ก.ย. 2566 เศรษฐา ทวีสิน ได้วางคิวประเดิมลุยตรวจงานในพื้นที่ภาคอีสาน เป้าหมายคือ ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย หัวเมืองหลักในอีสานเหนือ
โดยนายเศรษฐา พร้อมด้วยคณะ เช่น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ได้นั่งรถไฟดีเซลรางนั่งปรับอากาศชั้นสองขบวนพิเศษ โบกี้ที่ 2516 เดินทางจากสถานีรถไฟอุดรธานี ไปยังสถานีรถไฟหนองคาย พร้อมกับนักธุรกิจภาคเอกชน เพื่อพูดคุยประเด็นการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน
โดยเมื่อขบวนรถไฟมาถึงสถานีรถไฟหนองคาย มีประชาชนจำนวนมากรอต้อนรับอยู่ ได้มอบดอกกุหลาบ ผูกผ้าขาวม้า และขอถ่ายรูปกับนายกรัฐมนตรีด้วยความคึกคัก พร้อมตะโกนด้วยว่า “นายกเศรษฐา ชาวนาจะเป็นเศรษฐี”
นอกจากนี้ ยังมีสภาเกษตรกรจังหวัดสภาเกษตรกรหนองคาย ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนกับนายกฯ เพื่อขอให้แก้ไขปัญหา สิทธิทำกินและปัญหาแหล่งน้ำ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและหนองคาย ว่า ดูเรื่องจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าและศุลกากร เพราะหนองคายเป็นประตูเศรษฐกิจสำคัญที่สุด ปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่ผ่านจากประเทศไทยไปลาวและไปประเทศจีนเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งการสร้างรถไฟรางคู่เฟส 2 จากจังหวัดขอนแก่นมาจังหวัดหนองคาย เข้าใจว่าเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อีกครั้งเดียวก็จบแล้ว เพราะงบประมาณมีการกันไว้เรียบร้อยและเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งนี้การลงพื้นที่ภาคอีสาน หลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รู้สึกอบอุ่นมากกว่าช่วงหาเสียง เนื่องจากเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือต้องการกำลังใจแล้วได้มาลงพื้นที่อีสาน โดยเฉพาะ 3 จังหวัดนี้ ขอนแก่น อุดรธานี และ หนองคาย จะได้รับการต้อนรับที่ดีทำให้มีกำลังใจกลับไปมากขึ้น
ฮีลใจเมื่อได้มาอีสาน
ก่อนหน้านั้น ในช่วงเช้า นายเศรษฐา ได้ไปลงพื้นที่ตลาดร่มเขียว ใกล้สวนสาธารณะหนองประจักษ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยประชาชนเข้ามาทักทายและขอถ่ายรูปจำนวนมาก บางคนเข้ามาขอกอด ผูกผ้าขาวม้าให้ บางส่วนก็นำสินค้ามาให้ชิม
ช่วงหนึ่งระหว่างเดินในตลาดมีคุณลุงได้เดินมา ท้านายกฯ ว่า "นายกฯต้องทำให้ประเทศนี้เป็นรัฐสวัสดิการให้ได้ แล้วผมจะยอมรับ" ซึ่งนายกฯ ตอบกลับไปทันทีว่า "พูดแบบนี้คนอาจจะไม่เข้าใจ รัฐสวัสดิการคือ รัฐดูแลประชาชน ย้ำว่ารัฐดูแลประชาชน"
นายเศรษฐา ยังให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า ที่ตนเคยบอกว่าจะลงพื้นที่ให้มากขึ้นนั้น ในการประชุม ครม. นอกสถานที่ นัดแรกเล็งไว้จะไปจังหวัดหนองบัวลำภู
และการที่ตนได้ลงพื้นที่ภาคอีสานได้ทราบถึงปัญหา “...รู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมชาติมากกว่า มีความอบอุ่นในแววตาของคนที่ได้พบเห็น หากผมมีเรื่องหนักใจก็อยากเดิน ทางมาอีสานเพราะเหมือนเป็นการฮีลใจ” นายเศรษฐา ระบุ
ทั้งนี้ คำว่า “ฮีล” มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษ Heal แปลว่า รักษาเยียวยา ฉะนั้น ฮีลใจก็คือ การรักษาใจ เยียวยาใจ หรือหลบเลียแผลใจจากความรู้สึกแย่ๆ
ในการ เลือกตั้งปี 2566 สมรภูมิอีสาน ที่พรรคเพื่อไทย เคยได้รับชัยชนะส.ส.ยกจังหวัดนับสิบแห่ง แต่เหลือชนะยกจังหวัดเพียงแห่งเดียวคือ จ.หนองบัวลำภู
ส.ส.อีสานทั้งหมดมี 133 ที่นั่ง เพื่อไทย ได้ 73 ที่นั่ง แม้จะยังรักษาแชมป์อีสานไว้ได้ แต่ไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการมากถึง 120 ที่นั่ง
มารอดูกันว่า ในยุคที่กระแสพรรรคก้าวไกล มาแรง “เศรษฐา” ในฐานะนายกฯ จะมาสามารถดึงเรตติ้งฟื้นศรัทธาให้กับพรรคเพื่อไทย กลับมาได้รับความนิยมเหมือนเดิมหรือไม่ น่าจับตา...