นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวผ่านการตอนหนึ่งในการถ่ายทอดสด(Live)ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองถึงกรณีที่อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ นางสาวพรรณิการ์ วานิช(ช่อ) ถูกศาลฎีกาพิพากษาตัดสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งตลอดไป กว่า 1 ชั่วโมง 12 นาที
ตอนหนึ่ง นายปิยบุตร กล่าวว่า การแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาหลายครั้ง ในหลายประเด็น ถูกกลุ่มผู้เห็นต่าง ทั้งจากฝ่ายความมั่นคง และ ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ตอบโต้ มาโดยตลอดก็พอเข้าใจได้ แต่การวิจารณ์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล แฟนคลับหลายคนรับไม่ได้ และ ถึงขั้นทัวร์ลง
หลายครั้งตั้งคำถามว่า เหตุใดตนเองจึงไม่พูดคุยกันเป็นการภายใน ก็เพราะกฎหมาย ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยว ครอบงำ ในฐานะคนนอก ไม่สามารถดำเนินการได้ และ พรรคก้าวไกล ก็ไม่เคยเชิญ ให้ตนเองเข้าไปทำอะไร หรือ พูดคุยทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรค จึงต้องสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียแทน
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า การวิจารณ์ต่อพรรคก้าวไกลที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ส่วนตัวก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ตรงกันข้ามกับมีคนเกลียดเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นว่า คน 3 กลุ่ม ทั้งไอโอ ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และ ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล รุมตอบโต้ จึงไม่รู้ว่าจะทำต่อไปทำไม อามิดสินจ้างก็ไม่ได้ ค่าตัวก็ไม่ขึ้น ความนิยมชมชอบลดน้อยถอยลงเพราะคนด่าเพิ่มขึ้น
"มีคนหลายกลุ่มด่าเพิ่มและเกลียดผมมากขึ้นแล้วจะทำไปทำไม แต่เพราะว่าเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เมื่อเกิดความเชื่อมั่นก็ต้องพูดกันตรงไปตรงมา นับวันผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลอาจจะหงุดหงิดหรือไม่พร้อมที่จะรับฟังการวิจารณ์ นับตั้งแต่นี้ ก็จะพยายามไม่พูดถึงพรรคก้าวไกล แล้วจะมีข้อความ ซึ่งเป็นข้อเขียนสุดท้ายเรื่องความปรารถนาดีต่อพระก้าวไกล เธอเอาลองไปพิจารณาแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองไทย และพรรคก้าวไกลต่อไป"
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ต้องขออนุญาตลาทุกท่านไปก่อนตอนนี้เกิดอารมณ์ เบื่อขึ้นมาแล้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเพื่อสาธารณประโยชน์ไป ทำไมพูดไปก็ทัวร์ลงทุกฝ่าย ฝ่ายความมั่นคง ผู้สนับสนุนเพื่อไทย ผู้สนับสนุนก้าวไกล ก็มาลงผมโดนหมดทุกทางเลย เลยคิดว่าน่าจะไปพักผ่อนสบายๆ งดบทบาทในการแสดงความเห็นในที่สาธารณะ ต่อไปนี้อาจจะไปเขียน เรื่องกีฬาหรือดนตรีภาพยนตร์แทนบ้านเมืองการเมือง
และจะนั่งทบทวนคิดถึงตัวเองบ้างเพราะที่ผ่านมาไม่ได้นึกถึงตัวเองเท่าไหร่ แต่การตัดสินใจนี้ เกิดจากการคิดถึงตัวเองนั่งทบทวนว่าจะทำไปทำไม ในเมื่อความเกลียดมาจากทุกๆทุกทางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็จะไปหาทางทำอย่างอื่นเขียนหนังสือวิชาการที่ค้างไว้หรือถ้ามหาวิทยาลัยต่างๆเล็งเห็นถึงประโยชน์ของตนเองก็เชิญไปสอนหนังสือไปบรรยายก็ยินดี ถึงเวลาแล้วที่ต้องยุติเรื่องพวกนี้สักทีถึงเวลาที่จะกลับไปทำงานวิชาการเพราะเสียดายความรู้ที่ต้องเรียนมา
นายปิยบุตร กล่าวทิ้งท้ายว่า ต้องให้กำลังใจนางสาวพรรณิการ์ รวมถึงนักการเมืองที่โดนเรื่องนี้ อะไรที่ผิดก็ว่าไปตามผิด แต่ไม่ควรโดนเป็นลูกระนาดแบบนี้ ต้องให้กำลังใจคุณพรรณิการ์ด้วย ตนเองก็ยอมรับตรงไปตรงมาว่าอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย เป็นจิตสำนึกส่วนบุคคลของตัวเองเล็กน้อย ทุกท่านก็คงจะทราบ เพราะคุณช่อก็เคยเล่าอยู่ ว่าตนเป็นคนไปชวนคุณพรรณิการ์ให้มาร่วมกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ด้วยกัน ขอให้เขามาเป็นโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ช่วงประชุมพรรคอนาคตใหม่ คุณช่อก็จะนั่งติดกับผม
"พอคุณช่อโดนลงโทษแบบนี้ ผมก็เสียใจและมีความรู้สึกว่านึกย้อนไปเหมือนกันว่า ถ้าวันนั้นผมไม่ชักชวนกันมา คุณช่ออาจจะเป็นผู้ประกาศข่าวที่มีชื่อเสียง และผลงานเป็นที่นิยมชมชอบของคนจำนวนมาก แต่วันนั้นคุณช่อเด็ดขาดมาก ผมชวนปุ๊บก็ตัดสินใจมาร่วมเดินทางด้วยกัน เพราะเราเห็นว่าเราต้องการมีพรรคการเมือง เพื่อต้องการเข้าไปเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ได้ หากไม่ชวนมาการแสดงออกของคุณชอบมา 6 ปีที่แล้ว ก็คงไม่โดนขุด มันเกิดจากบทบาทการเป็นผู้แทนราษฎร เกิดจากฝ่ายอนุรักษ์ฝ่ายความมั่นคงรู้สึกระแวดระวังกังวลใจกับพรรคอนาคตใหม่”
นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนเชื่อว่าชีวิตเขาคงไปได้ดี คงไม่มาถูกใครชอบหรือชัง ยอมรับว่าอินกับเรื่องนี้มาก ถือเป็นจิตสำนึกส่วนบุคคล ไม่เช่นนั้น นางสาวพรรณิการ์ไม่ต้องมาถูกสังคมนินทาใส่ร้าย ไม่มีคดีความติดตัว แต่ก็ต้องชื่นชนที่นางสาวพรรณิการ์ มีใจที่เด็ดขาดตั้งใจมาร่วมทำงานหวังเปลี่ยนแปลงประเทศร่วมกัน ต้องให้กำลังใจ และก็เสียดายแทนประเทศไทยที่ต้องสูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถไป
นายปิยบุตร ยังกล่าวว่า กรณีที่ตนวิจารณ์พรรคก้าวไกล ว่าแสดงออกเรื่องดังกล่าวช้าไปนั้น ต้องยอมรับว่าตนอินกับเรื่องนี้มาก และคาดหวังว่าพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมืองที่มีจุดยืดกับเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ การใช้นิติสงครามในการประหารกัน และน.ส.พรรณิการ์ ก็เป็นผู้เริ่มต้นก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และยังเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคก้าวไกลอีกด้วย ตนจึงตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างตรงไปตรงมา และตนทราบดีว่ามีคนไม่เห็นด้วย และวิจารณ์กลับมาจำนวนมาก
“บ้างก็ว่าผมใจร้อน บ้างก็ว่าทำไมไม่ดูไลน์กลุ่ม ทำไมไม่ส่งไลน์กันภายใน ทำไมต้องมาพูดข้างนอก ตกลงแล้วผมหวังดีกับพรรคหรือเปล่า ผมเรียนว่าที่ท่านวิพากษ์วิจารณ์ผมมาทั้งหมด ผมอ่านหมด และน้อมรับเป็นธรรมดาที่บุคคลสาธารณะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเรื่องปกติ บางคนก็บอกให้ผมไปคุยกับสส.เงียบๆ ให้ยกหูหา แต่คำถามคือในทางกฎหมาย ผมถูกห้ามอยู่แล้วในเรืองการครอบงำ และในทางความเป็นจริงผมไม่มี โอกาสเข้าไปแนะนำ แนะแนวอะไรในพรรคก้าวไกล เว้นแต่จะเจอสส.ในชีวิตประจำวัน หากมีอะไรก็พูดคุยกัน แต่ผมไม่ได้เข้าไปสั่งสอน หรือให้คำปรึกษาภายในพรรคเลย”
นายปิยบุตรกล่าว ดังนั้น สส.ทั้ง 151 คน รวมถึงคณะผู้นำของพรรค ตนจะไปสื่อสารอะไรได้ ทำได้มากที่สุดคือโพสต์ในที่สาธารณะ เพื่อให้เป็นหลักประกันชัดเจนว่าทุกคนได้เห็นแน่นอน ตนไม่มีสิทธิเข้าไปทำงานในพรรคเนื่องจากกฎหมายได้ห้ามไว้ และทางพรรคก็ไม่ได้เชิญเข้าไปด้วย ลองคิดดูว่าการที่ตนวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกล ตนได้ประโยชน์ส่วนบุคคลอะไรบ้าง ตรงกันข้ามมีแต่คนเกียจตนเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ผ่านมาเวลาตนแสดงความคิดเห็น จะมีแค่ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม มาต่อต้านและมาโจมตี ซึ่งตนโดนมา 10 ปีแล้ว เมื่อเข้ามาช่วยพรรคก้าวไกลหาเสียงอย่างเต็มที่ก็ถูกผู้สนับสนุนของพรรคเพื่อไทยตอบโต้และเป็นเป้าหมายสำคัญ จนมาวันนี้ตนวิจารณ์พรรคก้าวไกล ตนก็โดนผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลตำหนิติเตียน ไม่พอใจ หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมาถ้าตนจะถูกวิจารณ์จากฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร โดนจากผู้สนับสนุนของพรรคเพื่อไทยก็พอเข้าใจได้ แล้วตนจะหาเรื่องใส่ตัวโดยการวิจารณ์พรรคก้าวไกลอีกทำไม
“กลายเป็นว่าต่อไปนี้เวลาผมพูดอะไรก็มีคนจองกฐินผม 3 กลุ่ม แล้วผมจะทำไปทำไมทำไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ผมจะดำรงตำแหน่ง หรือจะกลับมาเล่นการเมืองได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ อามิสสินจ้างก็ไม่ได้ ค่าตัวก็ไม่ขึ้น ความนิยมชมชอบก็ลดน้อยลงมีแต่คนด่าเพิ่มขึ้น แล้วผมจะไปทำไม พูดสั้นๆเพราะผมยังเชื่อมั่นพรรคก้าวไกลอยู่ ว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ดังนั้นใครจะวิจารณ์ผมก็เต็มที่ ไม่มีลบโพสต์รวมถึงดำเนินคดี”
นายปิยบุตร กล่าวว่า ถ้าสถานการณ์ดำเนินไปในลักษณะที่ไม่พร้อมจะฟังการพูดอย่างตรงไปตรงมาของตน “นับตั้งแต่นี้ผมจะพยายามไม่พูดถึงพรรคก้าวไกล” ซึ่งตนมีข้อเขียนที่เตรียมไว้ด้วยความปรารถนาดีถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งอาจจะเป็นข้อเขียนสุดท้ายที่พูดถึงพรรคก้าวไกล และต่อไปนี้ตนจะไม่พูดอีกแล้ว เพราะมีคนไม่เห็นด้วยไม่พอใจเท่าไหร่ อย่างน้อยที่สุดข้อเขียนสุดท้ายนี้ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองไทย ผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลรวมถึงผูเที่สนับสนุนด้วย