นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566 ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงแนวทางการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ในการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3/2566 ซึ่งจะจัดขึ้นที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ในวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ว่า ขณะนี้ทางสำนักงานเลขาธิการพรรค และรักษาการคณะกรรมการบริหารพรรคได้มีการจัดเตรียมสถานที่และกำหนดองค์ประชุมตามข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ ข้อที่ 81
และที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายพรรคการเมืองว่าจะต้องมีไม่น้อยกว่า 250 ท่าน แต่ในส่วนของข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการเตรียมองค์ประชุมไว้เบื้องต้น 346 คน ซึ่งนับรวมองค์ประชุมสำรอง 150 คนแล้ว
นายราเมศ กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้จะมีความเคลื่อนไหวของสมาชิกพรรคที่ได้เปิดตัวไปบ้างแล้ว และอาจจะมีสมาชิกพรรคท่านอื่นที่ยังไม่เปิดตัวต่อสาธารณะ ซึ่งสมาชิกพรรคทั้งที่มีการเปิดตัว และยังไม่ได้เปิดตัวต่อสาธารณะขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้แสดงเจตจำนงในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังไม่เรียกว่าเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรค
ทั้งนี้บุคคลที่ผ่านการเสนอชื่อลงเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแล้ว กำหนดให้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องนโยบาย หรือ อุดมการณ์ คนละไม่เกิน 7 นาที
นายราเมศ กล่าวด้วยว่า เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการตามข้อบังคับพรรคก่อน ซึ่งจะมีการการเข้าสู่ระเบียบวาระของการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีสมาชิกซึ่งเป็นองค์ประชุมเสนอชื่อของผู้แสดงเจตจำนงหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งต่อที่ประชุม
พร้อมกับจะต้องมีผู้รับรองและเมื่อมีการตรวจสอบคุณสมบัติถูกต้องจะหมายความว่า ผู้แสดงเจตจำนงเหล่านั้นจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ เมื่อได้หัวหน้าพรรคแล้ว ขอยืนยัน พรรคประชาธิปัตย์ยังคงทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา
รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สำหรับเรื่องคุณสมบัติผู้ที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ข้อบังคับพรรคเขียนล็อกไว้ในข้อที่ 31 และข้อที่ 32 ถึง 9 ชั้น
กุญแจดอกเดียวที่จะสะเดาะกลอนทั้ง 9 ชั้น คือ สมาชิกที่ที่ประชุมใหญ่มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมใหญ่มีมติให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค (รวมถึงหัวหน้าพรรคด้วย)
นายราเมศกล่าวว่า กรณีนี้ไม่ได้เป็นการยกเว้นข้อบังคับ ไม่ได้มีการแก้ไขข้อบังคับ แต่ทางแก้ข้อบังคับ ข้อบังคับเขียนไว้ว่า ถ้าบุคคลที่มีคุณสมบัติไม่ครบตามข้อบังคับข้อที่ 31 สมาชิกพรรคที่เสนอชื่อคนที่เป็นหัวหน้าจะต้องขอให้ที่ประชุมใหญ่มีมติ 3 ใน 4 ขององค์ประชุม อนุญาตให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคได้
“นอกจากนี้ข้อบังคับพรรคข้อที่ 32 ระบุไว้ว่า ในการเสนอชื่อผู้จะเป็นหัวหน้าพรรคต้องมีผู้รับรองไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ที่อยู่ในที่ประชุม และหัวหน้าพรรคต้องมีคุณสมบัติตามข้อบังคับพรรค ข้อที่ 31 (3) คือ ต้องเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคมาก่อน ยกเว้นที่ประชุมใหญ่ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 จึงจะสามารถเข้าสู่การแข่งขันลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้”นายราเมศกล่าว
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับน้ำหนักการลงคะแนน ข้อบังคับพรรค ข้อที่ 87 (1) สส.พรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน จำนวน 25 คน ให้ถือเป็นสัดส่วน 70 % และ (2) องค์ประชุมอื่น ๆ ที่เหลืออีก 18 กลุ่ม จากทั้งหมด 19 กลุ่ม ให้ถือเป็นสัดส่วน 30 % ของคะแนนเสียงขององค์ประชุมของที่ประชุมใหญ่
ทั้งนี้ ผู้ที่เปิดตัวลงสมัครรับสมัครเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้มี 2 ราย ได้แก่ รายแรก นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคเหนือ อดีต สส.ปาร์ตี้ลิสต์ และอดีต สส.พิจิตร พรรคประชาธิปัตย์ บุตรชายนายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีต สส.พิจิตร หลายสมัย
รายที่ 2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน คือ น.ส.วทันยา บุนนาค หรือ “มาดามเดียร์ ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ติดต่อกันไม่ถึง 5 ปี และไม่เคยเป็น สส. หรือ รัฐมนตรี ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และไม่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์