“ฐานเศรษฐกิจ” เปิดใจ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ถึงการตัดสินใจ “ยากที่สุดในชีวิต” ในการรับตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่” เพราะต้องเลือกระหว่างการ “เสียคำพูด” กับการ “เนรคุณ”
ประชาธิปัตย์เดินมาถึงจุดที่ตกต่ำสุด-มี สส.25 คนได้อย่างไร อะไรที่ก้าวพลาดที่สุด และมีเหตุผล-ความจำเป็นอะไรที่ทำให้เฉลิมชัยต้องยอม “เจ็บตัว” ข้อความระหว่างบรรทัดต่อไปนี้มีคำตอบของคำถาม แบบคำต่อคำ
พรรคการเมืองก็มีขึ้นมีลง การที่บอกว่าอยู่ถึงจุดต่ำสุด หรือพีคสุด ไม่มีใครตอบได้ เพียงแต่ว่า วันนี้พรรคเราได้จำนวน สส.ต่ำลงกว่าเดิมเยอะ เราก็ต้องมาดู พัฒนา เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่จะว่าตกต่ำไหม ตกต่ำ ก็ต้องยอมรับความจริง แต่จะสุดไหม ไม่มีใครตอบได้ แต่สิ่งที่เรามี คือ ภาระหน้าที่ที่เราเข้ามารับผิดชอบ เราก็มีหน้าที่ทำให้พรรคดีขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เรียกศรัทธาของพี่น้องประชาชนกลับคืนมาให้กับพรรค
ที่สำคัญที่สุดวันที่ประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ผมยืนยันได้เลยว่า อุดมการณ์และหลักการประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมอยู่ประชาธิปัตย์มา 20 กว่าปี ผมมั่นใจว่า ผมเป็นคนยึดหลักการ อันดับต้น ๆ ของพรรคเลย ยึดและทำ ไม่ได้พูดอย่างเดียวด้วย มันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องมาทำให้พรรคดีขึ้น ผมอยากจะใช้คำนี้มากกว่า
จุดนี้คือจุดไหน ต้องให้ชัดเจน แต่ละคนอาจจะมองจุดไม่เหมือนกัน ก็ต้องถามว่า จุดนี้ คือ จุดไหน
ต้องยอมรับว่า วันนี้ ประชาชนไม่ได้คาดหวังประชาธิปัตย์ที่จะมาเป็นตัวแทนมากเหมือนเมื่อก่อน อาจจะเป็นด้วยปัจจัยหลายอย่างที่เราจะต้องมาวิเคราะห์กันว่า ทำไม ทำไมศรัทธาพี่น้องประชาชนถึงลดลง นั่นคือสิ่งที่เราต้องกลับมาแก้ไขปรับปรุง แต่ถ้าเราไม่รู้ตัวเอง เรายังทะนงตัวเอง ยึดถือแต่ว่าเราเป็นพรรคเก่าแก่ ทุกคนยกย่องเป็นสถาบัน ก็รอวันสูญพันธุ์อย่างเดียว
วันนี้ถึงเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งของพรรคที่จะต้องนำพาพรรคผ่านจุดนี้ไปให้ได้ ผมว่า พรรคการเมืองทุกพรรค มันก็จะมีคล้าย ๆ อย่างนี้ มีขึ้นมีลง เช่นเดียวกับสมาชิกพรรค มีเข้า มีไป มีออก มีเข้ามาใหม่ พรรคประชาธิปัตย์เป็นองค์กร เป็นสถาบัน เป็นพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ผิดเลย ใครจะมาจะไป จะเข้าจะออก สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือ การทำร้ายพรรค ทำให้พรรคเสียหาย
วันนี้เราไม่เหมือนเมื่อก่อน เราเคยมี (สส.) 100 กว่า เราต้องเข้าใจว่า สภาพความเป็นจริงเรามี 20 กว่า อย่าไปหลงตัวเอง คิดว่า ตัวเองยัง 100 กว่าและทำตัวเหมือนมี สส.100 กว่าคน บางทีการมี สส.เยอะ แล้วมามี สส.น้อย มันอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่ผมว่า ต้องมาอยู่กับความเป็นจริง จะทำให้เราสามารถมองเห็นปัญหาและแก้ไขปัญหาได้
ผมว่า วันนี้ประชาธิปัตย์ก็ต้องชัดเจนในทิศทางการเมือง สอง ประชาธิปัตย์ต้องกล้าที่จะต้องตัดสินใจบางเรื่องให้คนเห็นว่า พร้อมจะเป็นผู้นำในการต่อสู้ ในการเปลี่ยนแปลง ถ้าตราบใดพี่น้องประชาชนยังไม่คิดว่า ประชาธิปัตย์จะเป็นหลักได้ เป็นผู้นำได้ ก็ยังไม่มีใครเลือกหรอกครับ เพราะฉะนั้นนี่คือโจทย์ใหญ่ที่สุดของเรา
เรื่องภาวะผู้นำ คือ โจทย์ที่เราต้องแก้ปัญหาตรงนี้ ในเรื่องการเปิดกว้างของพรรค การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ กติกา หรือวัฒนธรรมเก่า ๆ ที่มันล้าสมัยแล้ว พรรคก็ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน นี่คือสิ่งที่ผมมีหน้าที่เข้ามาขับเคลื่อนพรรคตรงนี้
ประชาธิปัตย์ต้องทำให้เป็นรูปธรรมมากกว่าพูดให้เป็นรูปธรรม นี่คือ ผมว่าเป็นชนักติดหลังของประชาธิปัตย์เลย ประเภทที่เขาพูดว่า ดีแต่พูด อะไรพวกนี้ คำพูดนี้ต้องแก้ให้ตก ต้องทำให้เขาเห็นว่า วันนี้ เราพูดแล้วทำด้วย หรือทำเสร็จก่อนแล้วถึงจะพูด ทำให้ทุกคนเห็นด้วยวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่เราจะต้องช่วยกันแก้ไข และพาพรรคเดินไปในแนวทางที่ถูกต้อง
เราไม่ได้คุยกันไปถึงขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยืนยันได้นะครับว่า หนึ่ง ไม่มีการคุยกันในเรื่องทิศทางว่า ประชาธิปัตย์จะไปร่วมรัฐบาล ไม่มี ผมยืนยันได้ว่า ไม่มีการคุยเรื่องนี้ (ร่วมรัฐบาล)
“ผมบอกกับหัวหน้าอภิสิทธิ์ว่า เราจะคุยกันสองคน รู้กันสองคน และคุยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงให้ท่านทราบ แค่นั้น แต่ว่ารายละเอียด ผมบอกแล้วว่า ถ้าอยากจะรู้ก็ต้องไปถามท่านหัวหน้าอภิสิทธิ์ เพราะผมบอกแล้วว่า เราจะคุยกันตรงนี้นะ เปิดอกคุยกัน เอาเรื่องจริง รับได้ ไม่ได้ก็ต้องฟัง สองคน”
เรารู้กันอยู่แล้ว ผมก็รู้ ท่านก็รู้ว่าผมเข้ามาด้วยความตั้งใจ ว่า พรรคมีปัญหาจริง ๆ ถึงเข้ามา ไม่ใช่เข้ามาเพราะอยากจะเข้ามามีอำนาจ หรืออยากมีตำแหน่ง ไม่ใช่ ถ้าผมอยากมี ผมทำไปนานแล้วครับ ผมไม่มีทำวันนี้หรอก
ต้องถามคุณอภิสิทธิ์ ผมเองแต่บอกว่า ผมแค่พูดความจริงแค่นั้น เพราะความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
ไม่เกี่ยวกับการจะร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาล ผมบอกท่านด้วยซ้ำว่า ผมจะยึดหลักการและอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง ทำร้ายผมรับได้ เพราะว่า ถ้าทำแล้วพรรคสามารถเดินไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าทำร้ายผมแล้วพรรคกระทบด้วยอย่าทำ คุณไม่รักพรรคจริง แค่คุณเสียผลประโยชน์คุณก็ออกอาละวาดแค่นั้นเอง
พรรคการเมืองคุณจะต้องพร้อมทั้งเป็นรัฐบาล และคุณจะต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้าน แต่ไม่ว่าคุณเป็นรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน คุณต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ให้เข้มแข็ง
“วันนี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เราจะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และวันหนึ่งถ้าสมมุติว่า จะสมัยนี้ หรือสมัยหน้า หรือสมัยไหน ถ้าประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์จะไม่เดินไปขอเขาเป็น เว้นแต่ว่า ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้ง วันนี้ไม่มีทางที่ประชาธิปัตย์จะเสียศักดิ์ศรีไปขอเขาเป็น ประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ให้ใคร”
คุณพูดออกมาพรรคเสียหาย แล้ววันหน้า การจะเข้าร่วมรัฐบาลไม่ว่าจะสมัยนี้หรือสมัยไหน ข้อบังคับพรรค กติกาพรรคมีอยู่แล้ว ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งเป็นคนตัดสินใจ ต้องเข้าสู่กระบวนการในการพิจารณาของกรรมการบริหาร ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาร่วมของกรรมการบริหารและ สส. สมมุติวันนี้ ใครจะไปหลอกกัน เข้าสู่กระบวนการ ท่านหัวหน้า อดีตหัวหน้าทุกท่านต้องทราบอยู่แล้ว ไม่มีใครหลอกใครได้หรอกครับ
เราเอาเรื่องจริงมาคุยกัน ผมว่ามันจะเป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศชาติมากกว่า มากกว่าเอาความรู้สึกส่วนตัว เอาโมหะ เอาความรู้สึกที่ติดลบแล้วก็มากระทำทุกอย่าง มันไม่ได้เกิดกับผม หรือกรรมการบริหารอย่างเดียว แต่มันเกิดกับพรรคด้วย คุณไม่คิดจะรักษาผมก็ต้องรักษาพรรค
กติกาของเรา หนึ่ง เราไม่ไปขอร่วมอยู่แล้ว สอง สมมุติว่าคุณเชิญมาก็ต้องเข้าสู่กระบวนการของพรรค ซึ่งจะต้องพิจารณา เถียงให้เหตุให้ผลเยอะมาก และไม่ได้บอกว่า เชิญมาแล้วต้องร่วม ทุกคนต้องมาร่วมกันตัดสินใจ ตัดสินใจบน หนึ่ง ผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผลประโยชน์ของพรรค ผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
ผมก็ถึงบอกว่า ผมไม่ได้เข้ามาเพื่อรับตำแหน่ง ผมเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาให้พรรค ซึ่งไม่ง่ายเลยในการที่จะต้องตัดสินใจมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ยากที่สุดในชีวิตผมเลยทางการเมือง เพราะผมต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผมไม่เคยปฏิเสธว่าผมเคยพูด ผมพูด 100 % เลยว่า ผมพูด และรับผิดชอบคำพูด ผมถึงพยายามทุกอย่างในการที่จะทำตัวที่จะไม่ยุ่งทางการเมืองแล้ว ออฟฟิศผมก็ไม่มีการเชิญ สส.ไปทานข้าวล่วงหน้า 2 เดือนแล้ว หลาย ๆ อย่างผมทำให้ทุกคนรู้ว่าผมจะวางมือ
มันก็ยากมาในการตัดสินใจ และโดยสัจจริงผมตัดสินใจ คืนวันที่ 8 ธันวาคมก่อนเลือกตั้ง ผมต้องเช็กทุกอย่างก่อนว่า มันจะเป็นยังไง มันจะเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่ผมคาดไว้ผมก็ต้องโดนแน่นอน เพราะผมพูดไปแล้ว แต่อย่าลืมนะครับว่า มันมีเหตุผลที่ผมไม่อยากเปิดให้สังคมได้รับทราบเหมือนกันว่า ทำไม
หนึ่ง การรับผลของการที่ผมเสียคำพูด ผมโดนแน่นอน กับสอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในพรรคบางเรื่อง มันพูดข้างนอกไม่ได้ แต่ผมยืนยันได้อย่างเดียวว่า พรรคแตก 100 % ณ วันนั้น ผมพูดไปกระทบคนโน้น คนนี้ในพรรคให้เสียหาย ผมไม่พูด แต่ยืนยันได้เลยว่า ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยังมีชีวิตอยู่ ณ วันนี้ คุณไปสอบถามข้อเท็จจริงได้
พรรคแตก ผมก็ต้องมาคิดว่า ครั้งที่ผมพูด ผมก็เอาตัวผมเอง ชีวิตผมทั้งชีวิตมาปกป้องพรรค ปกป้องผู้นำพรรค จนกระทั่งมาถึงจุดที่จะถึงวันนี้ นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ถ้าผมยังอยู่ตรงนี้ และผมยอมไหมที่จะเห็นพรรคแตกไปกับตาผมเอง มันก็ต้องคิดว่า ถ้าผมเห็นพรรคแตกแล้วผมไม่ทำอะไร ผมก็อกตัญญูกับพรรค
"มันต้องเลือกสองอย่าง ระหว่าง การเสียคำพูด กับการเนรคุณพรรค สุดท้ายผมถึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการตัดสินใจ ผมยอมที่จะเจ็บตัว ยอมที่จะเสียคำพูด แต่ผมเห็นพรรคแตกไม่ได้ ผมถึงตัดสินใจคืนนั้นที่จะมารับตำแหน่ง”
ผมโดน ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะผมพูดจริง ผมพูดในที่ประชุมด้วยซ้ำว่า เมื่อผมผิดคำพูด ผมตายไปแล้ว แต่ผมยังมีวิญญาณที่ยังมีจิตสำนึกอยู่ ที่มามาด้วยจิตวิญญาณที่มีจิตสำนึกที่จะอยากเห็นประชาธิปัตย์เดินไปข้างหน้าได้ และไม่มุ่งหวังตำแหน่งทางการเมือง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นบทพิสูจน์ทั้งหมดของกรรมการบริหารชุดใหม่
คนเก่าออกคนใหม่เข้ามีทุกยุคทุกสมัย ช่วงปี 62 มากกว่านี้ 63 64 มากกว่านี้อีก ผมว่า ถ้าเขาออกแล้วเขาไม่ทำร้ายพรรค ผมว่ามันเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล เป็นสิทธิของเขา แต่ถ้าออกไปแล้วและยังทำร้ายพรรค ผมคิดว่า คุณต้องพิจารณาตัวเอง ผมมีความรู้สึกเสียใจ เสียดายทุกครั้งที่มีสมาชิกพรรคออก ไม่อยากให้ออกเลย แต่ผมก็ไม่มีสิทธิไปห้ามใคร และถ้าผมบอกเขาได้ ผมอยากจะบอกว่า เรามาช่วยกันสร้างพรรคดีกว่าไหม ดีกว่าที่จะออกไป
ผมในวันที่ไม่มีตำแหน่งเลย ผมลาออกจากเลขาฯครั้งแรก ด้วยเหตุผลส่วนตัว ซึ่งหัวหน้าอภิสิทธิ์ทราบ ไม่ใช่โดนไล่นะครับ เหตุผลส่วนตัว หัวหน้าอภิสิทธิ์รู้ดีที่สุด ผมไม่ได้ไปไหนเลยครับ ผมไม่มีตำแหน่ง ผมช่วยหัวหน้าอภิสิทธิ์ เอาตัวทั้งตัว ทั้งชีวิตมาให้พรรคประชาธิปัตย์
วันนี้ ผมมามีตำแหน่ง คุณอาจจะไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ไม่สนใจ แต่คุณก็ต้องมองพรรคเป็นหลัก คุณต้องเห็นแก่พรรค พรรคยังต้องเดิน พรรคไม่ได้มีความผิดเลย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผมคิดว่า ถ้าทุกคนหันกลับมามอง การออกจากประชาธิปัตย์ก็ต้องคิดให้เยอะ คิดให้หนัก และมององค์กรเป็นหลัก
ผมไม่เคยอยากจะให้ใครแม้แต่คนเดียวออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนบทบาทของคนที่จะมีหรือไม่มี ผมว่ามันไม่ใช่บอกว่าเป็นเหตุผลในการที่จะออกหรอกครับ คุณรักพรรคประชาธิปัตย์ คุณรักบ้านหลังนี้ คุณช่วยได้หมด เหมือนกับที่ผมเคยทำให้เห็นว่า ผมไม่ต้องมีตำแหน่ง แต่ผมมีสำนึก ผมก็ช่วยพรรค ผมถึงบอกอยู่ตลอดเวลาว่า คนเราต้องมีจิตสำนึก ถ้ามีจิตสำนึกปัญหาต่าง ๆ มันหมด
วันนี้ถ้าคุณคิดว่าประชาธิปัตย์เป็นองค์กร เป็นบ้านของเราทุกคน คุณต้องให้โอกาสคนที่ตั้งใจจะเข้ามาทำงาน ฟื้นฟูพรรค เปลี่ยนแปลงแก้ไขพรรค ถึงแม้ว่าวันนี้คุณจะไม่ศรัทธา แต่ประชาธิปัตย์เป็นองค์กร ประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำผิดเลย การที่คุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ ตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ แล้วเป็นการทำร้ายพรรค ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ผมว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควร
ผมว่าเรามีโอกาสที่มาช่วยกันได้ ตัดอคติส่วนตัวออกไปบ้าง อัตตาอย่าให้มันสูงเกินก็จะทำให้เราสามารถทำงานได้ ขับเคลื่อนได้ ไม่ได้เลวร้ายทุกคนหรอกครับ คนเราไม่ได้เลว ไม่มีใครหรอกครับที่เลวร้ายประเภทที่ว่า จนไม่สามารถจะมาบริหารองค์กรได้ และถ้าเป็นไปได้ ผมว่า หลังจากนี้มาช่วยกันทำ ช่วยกันพาประชาธิปัตย์ไปข้างหน้าจะดีกว่า ถ้าคุณรักพรรคจริง
ผมเป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นมากที่สุดคนหนึ่งของพรรค ความเห็นต่างคุณต้องวิพากษ์วิจารณ์ด้วยสุจริต คุณต้องพูดด้วยสุจริต คุณอย่าเอาผลประโยชน์ เอาความรู้สึกส่วนตัวมาพูด มันก็ทะเลาะกันตลอด แต่คุณเอาความสุจริตใจมาพูดมันแก้ไขปัญหาได้หมด เราต้องแก้ไขปัญหาด้วยเหตุด้วยผล
แน่นอนที่สุด ผมว่า สิ่งที่ผมต้องการเห็นประชาธิปัตย์ต้องมีหลักการ อุดมการณ์ และศักดิ์ศรี หลักการของผมต้องอยู่ในกรอบของศีลธรรม จริยธรรมทุกอย่าง ข้อบังคับพรรค หลักการก็คือหลักการ ประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เป็น ไม่เคยเป็น นี่คือศักดิ์ศรีที่ผมบอกว่า เราจะเอาศักดิ์ศรีกลับคืนมา
เราจะทำหน้าฝ่ายค้านให้เข้มแข็ง รักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ของประเทศชาติ รักษากระบวนการนิติรัฐ นิติธรรม วันนี้ยังไม่ทันทำอะไร นั่งเฉย ๆ ก็ผิดแล้วเหรอ แล้วคุณใช้สิ่งที่อยู่ในมือ ความได้เปรียบในมือ ไม่ว่าจะเป็นความอาวุโส ไม่ว่าจะฐานะทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ คุณใช้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาทำร้ายพรรค ทำร้ายผม พวกผมไม่พอ ทำร้ายพรรคด้วย คุณว่ามันสง่างามไหม
ผมว่ายุติได้แล้วครับ ประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมือง ทุกครั้งที่ประเทศมีวิกฤต มีปัญหา ประชาธิปัตย์เข้ามาแก้ไขทั้งหมด ไม่ว่ายุคใคร เราเข้ามาช่วย เราเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก อย่าไปคิดว่าตัวเองดีคนเดียว ถ้าคิดว่าตัวเราเองดี พวกเราเองต้องดี คนอื่นเลวหมดอย่างนี้ ไม่มีทางทำงานได้หรอกครับ นี่ไงครับ ประชาธิปัตย์ (สส.) ถึงมา 25 คน นี่ไงครับ
ภายในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ภายในเดือนมีนาคมหรือเมษายนปีหน้าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ไม่ว่าในเรื่องของหลักเกณฑ์ กติกา ข้อบังคับพรรคต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพลักษณ์ของพรรค การสื่อสารของพรรค ความทันสมัยของพรรค สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลง
ผิดเหรอพวกผมไม่ได้เกิดมาในตระกูลผู้รากมากดี ผิดเหรอผมไม่ได้คลอดในกะละมังทองคำคาบช้อนเงินช้อนทองออกมา ผิดเหรอที่พวกผมจะมีเจตนาดีกับพรรคกับประเทศชาติไม่ได้ มันผิดมากใช่ไหม คุณอย่ามองว่าทุกคนเลวโดยจิตสำนึกของคุณ
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เราพยายามพิสูจน์มาแล้ว ว่า การมาอยู่ประชาธิปัตย์ เราต้องมีหลักการ มีอุดมการณ์ เราต้องยึดหลักสุจริตเป็นที่ตั้ง นี่คือสิ่งที่ผมบอกทุกคน และผมก็ปฏิบัติตัวมาโดยเคร่งครัด ผมถึงบอกว่า ผมมีหลักการ มีวินัย 100 % เลย หลักการเต็ม 100 ด้วย แต่อาจจะไม่ถูกใจ อาจจะไม่เข้าตา เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนตัว
แต่ไม่ใช่ว่า ไม่ถูกใจ ไม่เข้าตา แล้วจะเป็นคนเลวหมด ไม่ใช่ครับ เลว ชั่ว ส่องกระจกดูก็รู้ จะเด็ก จะผู้ใหญ่ เอากระจกมาส่องดู ไม่มีใครหลอกตัวเองได้ เว้นแต่โกหกจนคิดว่าเป็นเรื่องจริง
วันนี้ประชาธิปัตย์มีเอกภาพ อย่าบอกว่าคุมเลย คุมไม่ได้หรอกครับ แต่มีเอกภาพ มีความเป็นยูนิตี้กลับมา นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่า มันเป็นจุดเริ่มต้นที่พรรคประชาธิปัตย์จะก้าวไปข้างหน้าได้
ผมเรียกร้องเอกภาพ แต่ไม่เคยได้เลย แต่ผมก็ต้องทำ ทำหน้าที่ของผมให้สมบูรณ์ เจ็บก็ต้องยอมรับ อาสามาทำงานแล้วไม่ควรมีข้ออ้าง การเริ่มต้น เริ่มต้นจากตรงนี้
การตัดสินใจของผมก็เช่นเดียวกัน หนึ่งในนั้นก็คือความมีเอกภาพ มีไม่มี เพราะผมต้องมองว่า วันนี้ผมเอาทั้งชีวิตผมมาตรงนี้ มันต้องมองแนวทางว่า พรรคต้องขับเคลื่อนได้ ไม่ใช่ไปตายเอาดาบหน้า ไม่เอา ผมไม่ทำ
อันดับแรก สิ่งที่เห็นชัดเจน คือ เรามีเอกภาพ เรามียูนิตี้ขึ้นมา ไม่ใช่คุมได้ไม่ได้ ผมไม่อยากใช้คำนั้น ซึ่งไม่มีใครคุมได้ ทุกคนรู้ว่านักการเมือง สส. ไม่มีใครคุมได้หรอกครับ
ก่อนที่ผมจะรับ (ตำแหน่งหัวหน้าพรรค) ผมถึงบอกว่า ผมต้องตัดสินใจ ว่า ระหว่างรับผลที่มันเกิดขึ้นมา ถ้าผมจะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ผมต้องขับเคลื่อนพรรคได้ หมายถึง พรรคต้องมีเอกภาพ ผมก็ต้องดูหมดว่า กรรมการบริหารใครบ้างอะไรบ้าง เป็นยังไง ถ้าผมคิดว่ามีเอกภาพ นั่นแหละคือ เงื่อนไขแรกที่ผมจะตัดสินใจ ซึ่งเมื่อผมตัดสินใจไปแล้ว ผมก็มั่นใจว่า วันนี้พรรคมีเอกภาพ พร้อมจะขับเคลื่อน ถ้าวันไหนมีเอกภาพ วันนั้นมีพลัง
ผมเชื่อมั่นว่า หลังจากนี้ พรรคจะเดินแบบมีเอกภาพ และสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจับตามอง ผมว่า กรรมการบริหารทุกคนเข้าใจ รับทราบ และผมได้บอกไปแล้วว่า เราไม่มีเวลาฮันนีมูน สิ่งที่ต้องทำคือ สิ่งที่จะเป็นคำตอบให้สังคมได้ที่สุด คือ ทำในสิ่งที่เขาคาดหวัง หรือเขาปรามาสเราไว้ ทำให้เขาเห็นว่า ไม่ใช่ มันไม่ใช่แล้วเราทำได้
ไม่เคยมีนะ ผมไม่รู้นะ ผมไม่ทราบว่า คำพูดนี้ออกจากปากมาได้ยังไง สำหรับผม ทั้งชีวิตผมไม่ได้ทำอย่างนี้ ผมไม่เคยเลวอย่างนี้ ความคิดเลว ๆ อย่างนี้ไม่เคยอยู่ในหัวผม และผมก็ไม่เคยคุยในเรื่องการร่วมรัฐบาลกับใครทั้งสิ้น ถ้าถามผม ณ เวลานี้ ผมบอกเลย ไม่มีหรอกครับ
ไม่ว่าผมจะเป็นใครก็แล้วแต่ ชอบผมไม่ชอบผมก็แล้วแต่ วันนี้ผมเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้าองค์กรที่คุณอยู่กัน คุณก็ต้องให้เกียรติกันบ้าง ผมก็ต้องรู้ว่า ผมอยู่ตรงนี้ ผมต้องไม่ทำอะไรที่ทำให้เสื่อมเสียองค์กร สำนึกผมมี
มาทำเถอะครับ นี่คือบ้านของเรา พรรคประชาธิปัตย์เป็นองค์กร พรรคไม่ได้ผิดเลย คุณทำร้ายผม มันก็กระเทือนพรรคอยู่แล้ว กรรมการบริหารชุดใหม่ เด็กใหม่ ๆ หลายคน คนใหม่ ๆ เยอะแยะ คุณไม่ให้โอกาสเขาเลยเหรอ คุณคิดว่า เขาไม่มีความสามารถเลยเหรอ วันนี้กระบวนการ เรามาโดยถูกต้องตามข้อบังคับพรรค ตามกฎหมาย ไม่พอใจส่วนตัวก็ต้องเก็บไว้
ผมเป็นคนตัดสินใจในเบื้องต้น ก่อนที่จะมีการดำเนินการในการเข้าสู่กรรมการบริหารพรรค ยืนยันเลยว่า ไม่มี (เอาพรรคไปต่อรองตำแหน่งในรัฐบาล) และก็ไม่เคยคุยด้วย และไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ให้ใคร จำไว้เลยนะครับ ผมยืนยันคำนี้เลย ประชาธิปัตย์จะไม่มีวันเป็นพรรคอะไหล่ให้ใครเด็ดขาด เราจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้เข้มแข็งและสมบูรณ์
“ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อถึงเวลา สิ่งที่ท่านด่าเราไว้ ปรามาสเราไว้ ไม่เป็นไปตามที่ท่านคิด และเราทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านคิด ท่านจะออกมารับผิดชอบกับสังคมยังไงบ้าง กับสิ่งที่ท่านทำร้ายพรรค ทำร้ายพวกผมวันนี้”
เข้มแน่นอนครับ สังคมตอบได้ ว่า เราทำเพื่อต่อรองผลประโยชน์เหรอ หรือเราทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ การกระทำเป็นสิ่งที่พิสูจน์ทั้งหมดหลังจากนี้ ท่านไม่ต้องห่วง
วันที่ผ่านมาผมไม่มีตำแหน่ง ผมก็ตั้งใจว่า ผมจะพอแล้ว แต่วันที่ผมต้องมารับผิดชอบองค์กร ผมให้พรรคเดินไปตามครรลองอยู่แล้ว เดินไปตามหลักการ อุดมการณ์ของพรรคอยู่แล้ว
เราก็มีหลักเกณฑ์ของเรา เป็นความคิดส่วนตัวก่อนนะครับ เพราะทั้งหมดจะต้องผ่าน ต้องมีคณะกรรมการ มีกระบวนการ สำหรับผม ผมไม่ได้ปฏิเสธนิรโทษกรรม แต่เงื่อนไขต้องมีชัดเจน หนึ่ง ต้องไม่มีเรื่องของมาตรา 112 สอง ต้องไม่มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น สาม ต้องไม่มีเรื่องยาเสพติด ถ้ามีอยู่ในกฎหมายนิรโทษกรรม ผมมั่นใจว่า ประชาธิปัตย์ไม่เอาด้วย
แต่ถ้าสมมุติว่า มันเป็นการกระทำที่ประเภทว่า ไม่ได้ตั้งใจ ทำเพื่อประโยชน์บ้านเมือง ทำเพื่อที่จะรักษากติกา หรือประโยชน์บ้านเมืองอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่ากลุ่มสีเสื้อไหน ผมไม่ปฏิเสธ แต่หลักต้องมี และเมื่อถึงเวลาพรรคก็ต้องมีมติอยู่แล้ว ว่าจะต้องทำยังไง
วันนี้พรรคก็ต้องปรับตัว เหมือนกับบริษัทมหาชนทั่ว ๆ ไป ไม่ปรับตัวก็ล่มสลาย วันนี้การปรับตัวของเราอยู่ภายใต้พื้นฐานของหลักการและอุดมการณ์ของพรรค เป็นการปรับเปลี่ยนที่อยู่ภายใต้หลักการและอุดมการณ์ของพรรค ยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาธิปไตยสุจริต
วันนี้ผมไม่อยากเอาตัวไปแบ่งแยกสังคม ณ ตรงนั้น เพราะว่า การขับเคลื่อนของพรรคมีแนวทางหลากหลาย การเมืองไม่ใช่รบกันให้ตาย แต่ถ้าเป็นอะไรที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือแม้อยู่กันคนละพรรคเราก็ต้องสนับสนุน
แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็ยอมไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพออยู่คนละพวก คนละพรรคแล้ว อะไรก็ผิดหมด พวกเราถูกหมด ถ้าไม่ใช่พวกเราผิดหมด อย่างนี้ผมว่าไม่ถูกต้อง ประชาธิปัตย์ต้องไม่เป็นอย่างนั้น เอาเหตุ เอาผล เป็นตัวตั้ง เอาผลประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชนเป็นตัวตั้ง และต้องไม่ทำให้ความเป็นประชาธิปัตย์เสียหาย หรือเปลี่ยนแปลง
ผมก็เป็นตัวผม ผมมั่นใจว่า ผมกล้าส่องกระจกมองตัวเอง ส่วนความคิด ผมไปห้ามความคิดคุณไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่มีอคติ หรือคนที่ตั้งใจจะทำให้มันเป็นอย่างนั้น ผมไปเปลี่ยนแปลง ไปห้ามไม่ได้หรอกครับ
ผมว่าความจริงก็คือความจริง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็คือความจริง ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้ง เป็น 10 เป็น 100 ครั้ง มันก็ต้องพูดเหมือนเดิมทั้งหมด
ผมก็เป็นตัวตนของผมอย่างนี้ และเวลาที่ผมจะทำอะไร ผมทำเต็ม 100 ทำเกิน 100 ผมไม่ทำประเภทขอไปที ผมไม่เคยทำเพื่อหวังผลประโยชน์ให้ตัวเองเป็นหลัก ไม่มีครับ นี่คือตัวผม และผมก็จะเป็นตัวของผมอย่างนี้แหละครับ
ผมเป็นคนที่มีพวก เป็นคนรักพวก ยังเป็นคนที่พรรคพวก พี่น้องคบได้ ถ้ามีโอกาสช่วยเหลือได้ผมก็ทำให้ ผมก็จะเป็นคนแบบนี้ เปลี่ยนผมไม่ได้หรอกครับ นี่คือตัวตนของผม ไม่ทำชั่วหรอกครับ ขอให้มั่นใจเถอะครับ ผมด่าคนอื่น ผมไม่ทำตัวเองหรอกครับ
“วันนี้ผมก็ ถือว่าผมก็เจ็บพอสมควรกับการกลับมาอีกรอบหนึ่ง เพราะฉะนั้นการเจ็บของผม ต้องมีคุณค่าที่จะทำให้พรรค ตอบแทนให้พรรคได้ ไม่ให้เจ็บฟรี”
วันนี้ เรื่องภายในประชาธิปัตย์วันนี้ เราบริหารจัดการและไม่ดีไม่ถูกต้อง ท่านแนะนำมา ท่านตำหนิมา นี่ยังไม่ได้ทำเลย ก็ไม่ดี ก็เป็นคนเลวแล้วเนี่ย ผมอยากจะถามว่า มันเป็นธรรมไหม
ผมก็ได้แต่ยืนยันว่า วันนี้ผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมก็จะดูพรรคให้เดินไปข้างหน้า อย่างไม่ขัดหลักการและอุดมการณ์ของพรรค และจะอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี นำศักดิ์ศรีกลับมาสู่พรรค ไม่ให้พรรคเสียหายเด็ดขาด