ย้อนตำนาน "เด้งบิ๊กโจ๊ก" ถูกสั่งโอนเป็นขรก.พลเรือน สำนักนายกฯ

21 มี.ค. 2567 | 01:46 น.
อัปเดตล่าสุด :21 มี.ค. 2567 | 07:13 น.

ย้อนตำนาน "เด้งบิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล" และฟ้องดำเนินคดีนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เคยถูกคำสั่งโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกฯ

KEY

POINTS

  • พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกย้ายไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นการย้ายไปสำนักนายกฯครั้งที่สอง
  • "บิ๊กโจ๊ก" เคยถูกย้ายไปเป็น "ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" ในยุค คสช. เคยฟ้องศาลปกครองว่าคำสั่งย้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย 
  • ก่อนถูกย้าย "บิ๊กโจ๊ก" เคยมีหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนคำสั่งย้าย แต่ไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา

"มีคำสั่งผมก็พร้อมปฎิบัติ เพราะผมเป็นข้าราชการ ถ้ามีคำสั่งผู้บังคับบัญชา ผมก็ต้องไปทำตาม หน้าที่ ก็ไม่มีอะไรเดี๋ยวรอคำสั่งก่อน นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งมาแบบนั้น ผมก็ต้องไปปฎิบัติหน้าที่ แต่ตอนนี้ผมยังไม่เห็นคำสั่ง นี่ก็เป็นครั้งที่สองที่ได้ไปอยู่สำนักนายกฯ"

คำสัมภาษณ์สั้นๆ ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองบัญชาการตํารวจแห่งชาติ หรือ บิ๊กโจ๊ก เปิดใจกับสื่อฯเมื่อบ่ายวันที่ 20 มี.ค.67 ก่อนที่ "คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 106 /2567 เรื่อง ให้ข้าราชการมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี" จะเผยแพร่อย่างเป็นทางการในช่วงค่ำวันเดียวกัน 

"สั่งให้ พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม และให้ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษ และสิทธิประโยชน์อื่นใดไม่ต่ำกว่าที่ได้รับอยู่เดิม โดยเบิกจ่ายจากสังกัดเดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประการอื่น สั่ง ณ วันที่ 20 มีนาคม 2567"

หากโฟกัสเฉพาะคีย์เวิร์ดในการสัมภาษณ์ของบิ๊กโจ๊กที่ว่า "นี่ก็เป็นครั้งที่สองที่ได้ไปอยู่สำนักนายกฯ" 

"ฐานเศรษฐกิจ" นำเวิร์ดดิ้งดังกล่าว ไปตรวจสอบเพิ่มเติมพบข้อมูลการเด้งพล.ต.อ.สุรเชษฐ มาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีมาแล้วครั้งนึงในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2562 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 2/2562 เรื่องประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิ่มเติม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ระบุให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักหาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อยู่ในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 16/2558 ตามความในข้อ 5 ของคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 16/2558

คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 2/2562

ให้ข้าราชการตำรวจ (พล.ต.ท.สุรเชษฐ์) ขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิม ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง  

จากนั้นเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2563  พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีต่อศาลปกครอง กรณีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งโอนย้ายจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

และเมื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกฯ ขอให้ทบทวนคำสั่งโอนย้าย นายกรัฐมนตรี และปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้พิจารณาดำเนินการสั่งให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นเดิม

 

เปิดคำพิพาษาศาลปกครองกลาง ยกฟ้อง"บิ๊กโจ๊ก"

ถัดมาวันที่ 20 สิงหาคม 2564 ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาในคดีที่พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล (ผู้ฟ้องคดี) ฟ้องว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง)

ต่อมาขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2563 จำนวนสองฉบับ ฉบับแรกทำถึงนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) เพื่อขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทบทวนและมีคำสั่งใหม่ให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และฉบับที่สองทำถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2)

ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาเสนอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลศาลพิจารณาแล้ว คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยรวมสองประเด็น ดังนี้

 

ประเด็นที่หนึ่ง

ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการไม่พิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2563 และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีอันเนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่นั้น

เห็นว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) เป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งอธิบดีหรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง ซึ่งงานในหน้าที่ราชการของผู้ฟ้องคดีเมื่อครั้งขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีลักษณะงานเทียบเท่าผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง แต่งานในหน้าที่ราชการของผู้ฟ้องคดีขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) มีเพียงเล็กน้อย ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของผู้ฟ้องคดีเมื่อเทียบกับผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง

ตลอดจนในขณะที่ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการปฏิรูปราชการแผ่นดินแล้วกำหนดตำแหน่งหน้าที่อื่นให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่อย่างใด อีกทั้งขณะที่ผู้ฟ้องคดีรับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือในขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ผู้ฟ้องคดีไม่ได้อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรืออยู่ในระหว่างดำเนินการทางวินัยของผู้บังคับบัญชา

จึงเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะดำรงตำแหน่งในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่2 มีหนังสือลงวันที่ 26 สิงหาคม 2563 เสนอเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีขอโอนกลับไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานเดิมให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่1 พิจารณา และในระหว่างพิจารณาคดีของศาล ผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ได้มีหนังสือลงวันที่1 ธันวาคม 2563 และหนังสือลงวันที่5 มีนาคม2564 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่1

มีเนื้อหาใจความทำนองเดียวกันกับหนังสือ ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2563 เพื่อให้พิจารณาเรื่องที่ผู้ฟ้องคดีขอกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดเดิม กรณีจึงถือว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเสนอความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่1 เพื่อให้พิจารณาเรื่องของผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่2 จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี

ส่วนกรณีของผู้ถูกฟ้องคดีที่1 นั้น เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่1 ได้รับหนังสือของผู้ฟ้องคดี ลงวันที่ 20 สิงหาคม2563 แล้ว รวมทั้งได้รับความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ข้างต้นแล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องพิจารณาเรื่องของผู้ฟ้องคดี ตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม2562 แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่1 ไม่ได้มีคำสั่งว่าผู้ฟ้องคดีมีความจำเป็นหรือไม่มีความจำเป็นที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) กรณีจึงถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่1 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีด้วย

แต่ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 2564 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่1 เพื่อให้พิจารณาสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่1 พิจารณาแล้วได้มีคำสั่งเมื่อวันที่5 มีนาคม2564 เห็นชอบตามข้อเสนอของผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562

และต่อมาผู้ฟ้องคดีได้โอนกลับไปรับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 9 ) ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว เหตุแห่งการฟ้องคดีจึงหมดสิ้นไป ศาลไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไปดำเนินการเพื่อมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานเดิมได้อีกตามนัยมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

 

ประเด็นที่สอง

ผู้ถูกฟ้องคดีที่1 ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการไม่พิจารณาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน2562 ใหม่ตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี ลงวันที่20 สิงหาคม 2563 และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีอันเนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่นั้น

เห็นว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อาศัยอำนาจตามข้อ 5 ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 26/2558 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เมษายน 2562 ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมตามข้อ ๕ และให้ผู้ฟ้องคดีขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง)

ซึ่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 เป็นคำสั่งที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ดังนั้น คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 2/2562 ลงวันที่9เมษายน 2562 จึงมิใช่คำสั่งทางปกครองตามคำนิยามของมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2536

ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาใหม่คำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามนัยมาตรา54 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการพิจารณาใหม่ตามหนังสือของผู้ฟ้องคดี ลงวันที่ 20 สิงหาคม2563 และไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี พิพากษายกฟ้อง