กกต.ส่องานเข้า เจอฟ้อง 2 มาตรฐาน รีบเร่งยุบพรรคก้าวไกล-ไม่ยุบภูมิใจไทย

27 มี.ค. 2567 | 11:42 น.
อัปเดตล่าสุด :27 มี.ค. 2567 | 11:50 น.

สมาชิกพรรคก้าวไกลฟ้องเอาผิด กกต. 2 มาตรฐานรีบเร่งยื่นยุบพรรค แต่เพิกเฉยไม่ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดฟังคำสั่ง หรือ คำพิพากษา 9 เม.ย.นี้

วันนี้ (27 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำสั่งในคดีที่ เรือเอก ย. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 6 คน เเละเลขาธิการ กกต. รวม 7 คน เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 58/2567 

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา83  พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 69  พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560  พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 149  พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172 

โดยโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลคนหนึ่ง จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งจำเลยทั้งหกที่เป็น กกต. และจำเลยที่ 7 เป็นเลขาธิการ กกต. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ระหว่างวันที่ 17 ม.ค. - 18 มี.ค.2567 โดยร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน 

                        กกต.ส่องานเข้า เจอฟ้อง 2 มาตรฐาน รีบเร่งยุบพรรคก้าวไกล-ไม่ยุบภูมิใจไทย

สืบเนื่องมาจากศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยที่ 1/2567 ในคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาค มสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ 

และจำเลยทั้งหมดทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ไม่ดำเนินการยื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยยุบพรรคภูมิใจไทย และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 

โดยโจทก์ได้ทำหนังสือ และส่งหนังสือฉบับหนึ่งส่งถึงเลขาธิการ กกต.และ กกต. ขอให้พิจารณายื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคภูมิใจไทย และ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค ตามกฎหมายดังกล่าว แต่จำเลยทั้งหมดซึ่งได้ทราบความประสงค์ของโจทก์แล้วกลับเพิกเฉย

การกระทำของจำเลยทั้งหมด จึงมีเจตนาร่วมกันปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมีชอบ ไม่ดำเนินการกับ พรรคภูมิใจไทย ตามหน้าที่และอำนาจของตน

พฤติการณ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการประวิงคดีให้เนิ่นช้าเกินสมควร ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ตามอำนาจและหน้าที่ของพวกตนตามกฎหมายที่จะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคภูมิใจไทย และ ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 2

              กกต.ส่องานเข้า เจอฟ้อง 2 มาตรฐาน รีบเร่งยุบพรรคก้าวไกล-ไม่ยุบภูมิใจไทย

แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาร่วมกันปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือเพิกเฉย ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกรณีของ นายศักดิ์สยาม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 2567 

ก่อนกรณีของนาย พ. และ พรรค ก. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไป เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2567  จึงเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ การกระทำกรรมที่สอง เมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค. 2567 เวลากลางวันต่อเนื่อง ถึงประมาณวันที่18 มี.ค. 2567 จำเลยทั้งหมด ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ และกระทำการในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ มีเจตนาร่วมกันปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 

เนื่องจากวันที่ 31 ม.ค.2567  ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 3/2567กรณีของนาย ธ. ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ว่า การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกร้องที่ 1 และ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566 ของพรรค ก้าวไกล ว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่ 

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยแล้วว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง 

ต่อมาในวันที่  1 ก.พ. 2567 นาย ร. ในฐานะประชาชน และสมาชิกพรรค พ. ได้ยื่นคำร้อง ต่อสำนักงานของจำเลยมีเจตนาให้จำเลยส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค เหตุเพราะกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) 

               กกต.ส่องานเข้า เจอฟ้อง 2 มาตรฐาน รีบเร่งยุบพรรคก้าวไกล-ไม่ยุบภูมิใจไทย

และต่อมาในวันที่ 12 ก.ค.2566 นาย ธ. ได้ไปยื่นคำร้องที่สำนักงานตัวแทนของจำเลย โดยมีเจตนาเดียวกันกับ นาย ร. ซึ่งในวันที่ 12 มี.ค. 2567 จำเลยที่ 1-6 มีเจตนาร่วมกันโดยลงมติเป็นเอกฉันท์ ให้ส่งเรื่องให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค และได้มอบหมายให้จำเลยที่ 7 ในฐานะเลขาฯ กกต. โดยไม่โต้แย้งหรือคัดค้าน 

จึงถือว่ามีเจตนาร่วมกันปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1-6  และเป็นผู้ไปยื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญ การดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญของจำเลยทั้งเจ็ด เป็นไปอย่างเร่งรีบขาดความรอบคอบ และเป็นพิรุธ ทำให้จนถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำสั่ง หรือ มติรับคำร้องของจำเลยไว้พิจารณาแต่อย่างใด

การกระทำดังกล่าวของจำเลย จึงไม่มีความสุจริต และ โปร่งใสเที่ยงธรรม เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใด คือ โจทก์ หรือสมาชิกพรรคก้าวไกลคนอื่นๆ ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลย เป็นความผิดตามกฎหมาย 

ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง รับคดีไว้เพื่อตรวจคำฟ้อง และ ให้นัดฟังคำสั่ง หรือคำพิพากษา ในวันที่ 9 เม.ย. เวลา 09.30 น.