วันนี้ (6 มิถุนายน 2567) ที่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีหารือทางโทรศัพท์กับ นายนเรนทร โมที (H.E. Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย เพื่อแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีอินเดียอีกครั้ง
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญจากการหารือว่า นายกฯ แสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของ นายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งถือเป็นการชนะการเลือกตั้ง เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน แสดงถึงความชื่นชม การทำงานของนายกรัฐมนตรีอินเดียเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนชาวอินเดีย พร้อมยืนยันการทำงานร่วมกันเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน
“ครั้งนี้ถือเป็นการหารือกับนายกรัฐมนตรีไทยครั้งแรก จึงขอแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีเช่นกัน เชื่อมั่นว่าไทยและอินเดียจะคงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการภายในปีนี้เพื่อเป็นโอกาสหารือกระชับความร่วมมือระหว่างกัน ตลอดจนความร่วมมือระหว่างภูมิภาค และความร่วมมือในกรอบ BIMSTEC รวมทั้ง หวังว่าจะเป็นโอกาสให้ไทยและอินเดียได้ยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีในการเยือนอินเดียในช่วงเวลาเร็วที่สุดที่ทั้งสองฝ่ายเห็นสมควร และยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC ในเดือนกันยายน 2567 ที่ประเทศไทย โดยเชื่อว่าจะเป็นโอกาสพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน รวมถึงเพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันด้วย
สำหรับข้อมูลการค้าในปี 2566 การค้าไทย-อินเดีย มีมูลค่า 555,217 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 348,551 ล้านบาท และนำเข้า 206,665 ล้านบาท ส่วนช่วง 2 เดือนแรกปี 2567 การค้าไทย-อินเดีย มีมูลค่ารวม 90,787 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 55,621 ล้านบาท และนำเข้า 35,165 ล้านบาท
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง (ปี 2565-2566 จีดีพีอินเดียโต 6.84% และ 6.05% ตามลำดับ และคาดการณ์ปี2567 จะขยายตัวที่ 6.81%) โดยในปี 2566 อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก มีตลาดผู้บริโภคกว่า 1,300 ล้านคน (ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากจีน)
โดยนโยบายส่วนใหญ่เน้นการขับเคลื่อนด้วยการบริโภคสินค้าและการบริการภายในประเทศ อีกทั้งอินเดียยังมีมีมหาเศรษฐีมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก มีคนชั้นกลางประมาณ 350 ล้านคน นอกจากนี้โครงสร้างประชากรมีอายุระหว่าง 20-49 ปี ซึ่งอยู่ในวัยทำงาน ซึ่งมีกำลังซื้อสูง