“สรรเพชญ”เตือนนายกฯ ระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนปมอสังหาริมทรัพย์

30 มิ.ย. 2567 | 09:29 น.

“สรรเพชญ”เตือนนายกฯ ต้องระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ แนะปรับเปลี่ยนค่าสวัสดิการบ้านพักข้าราชการให้เป็นทางเลือก สามารถเลือกเช่าซื้อ หรือ เช่าเพื่ออยู่อาศัยได้มากขึ้น

วันที่ 30 มิถุนายน 2567 นายสรรเพชญ บุญญามณี ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการสั่งการด่วนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ศึกษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการยกระดับประเทศไทย สู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision) โดยจะปรับแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้นานขึ้นจาก 50 ปี เป็น 99 ปี และถือกรรมสิทธิ์ห้องชุด เพิ่มสัดส่วนจาก 49% เป็น 75% 

นายสรรเพชญ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่น่าสงสัยโดยเฉพาะท่าทีของผู้นำรัฐบาลคือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์” ที่มีความต้องการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งทำให้สังคมเกิดความสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนหรือต้องการเอื้อผลประโยชน์ให้กับใครหรือไม่ 

“ผมไม่อยากให้เกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรี ต้องถูกครหาว่าเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้”

นายสรรเพชญ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายต้องการให้ต่างชาติเช่าที่ดินที่มีระยะเวลากว่า 99 ปี ซึ่งระยะเวลานานขนาดนี้ไม่มีความแตกต่างอะไรกับเรื่องการขาย เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครที่อยู่ขนาดนั้น อีกทั้งระยะเวลากว่า 99 ปี ก็มากเกินความจำเป็น 

นอกจากนี้ เรื่องของสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จาก 49% เป็น 75% นั้น เรื่องนี้ก็มีความน่าเป็นห่วงไม่น้อย เพราะนโยบายนี้ต้องการให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ สามารถขายห้องชุดในโครงการใหญ่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็มีห้องชุดอีกไม่น้อยที่ยังต้องการขาย และสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ก็ยังสามารถให้ชาวต่างชาติซื้อได้อยู่ นอกจากนี้ ยังมีเสียงคัดค้านนโยบายดังกล่าว เพราะจะทำให้เกิดโรงแรมเถื่อนมากขึ้นจากการปล่อยคอนโดให้เช่ารายวัน 

นายสรรเพชญ เห็นว่า นอกจากเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการสร้างความรบกวนให้กับลูกบ้านคนอื่น ๆ โดยได้ยกตัวอย่างกรณีทุนจีนตู้ห่าว ที่เหมาซื้อเกือบทั้งโครงการ สร้างความรำคาญ จนคนไทยต้องย้ายบ้านหนี 
“ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลมีความกังวลว่าภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังขายไม่ออก ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาการชำระหนี้ธนาคารไม่ได้ตามกำหนด ซึ่งนี่เป็นผลให้รัฐบาลพยายามบีบให้แบงค์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยใช่หรือไม่?

นายสรรเพชญ กล่าวทิ้งท้ายว่า มาตรการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดนั้น เป็นเรื่องที่สะท้อนความแหลมคมในการบริหารจัดการภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีความรู้ ความเข้าใจที่เพียงพอ 

“ผมจึงเสนอว่า หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจจริง และบรรเทาความซบเซาของภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ขายไม่ออก รัฐบาลควรหาแนวทางใหม่ ๆ ที่มักจะถูกมองข้าม อย่างเรื่องการปรับเปลี่ยนค่าสวัสดิการบ้านพักข้าราชการให้เป็นทางเลือก ที่สามารถเลือกเช่าซื้อ หรือ เช่าเพื่ออยู่อาศัยได้มากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นแนวทางที่ดีกว่าการตั้งงบประมาณประจำปี เพื่อก่อสร้างบ้านพักในทุก ๆ ปี 

นอกจากนี้ เมื่อครั้งพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ก็มีการออกมาคัดค้านนโยบายขยายเพดานต่างชาติซื้อบ้านในไทย ของรัฐบาลชุดที่แล้ว และมองว่า อาจถูกครหาว่าเป็นรัฐบาลขายชาติได้ มาวันนี้พรรคเพื่อไทยกลับมุ่งมั่นที่จะทำเรื่องนี้ ราวกับว่าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน 

ในขณะนี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน น่าจะพิจารณาเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนอย่าถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า” นายสรรเพชญ ระบุ