“บิ๊กแจ๊ส"ร้อง กกต. สอย ชาญ พวงเพ็ชร์ ว่าที่นายก อบจ.ปทุมธานี ชี้ขาดคุณสมบัติ

17 ก.ค. 2567 | 07:09 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ค. 2567 | 07:13 น.

“บิ๊กแจ๊ส"ส่งทีมกฎหมายร้อง กกต. สั่งเพิกถอนการสมัคร นายก อบจ.ปทุมธานีของ "ชาญ พวงเพ็ชร์” อ้างถูกป.ป.ช.ชี้มูลทุจริตเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามลงสมัครแล้ว เผยไม่ติดใจใจผลแพ้ชนะ แต่เป็นเรื่องข้อกฎหมายที่ทำให้เป็นบรรทัดฐาน

วันนี้ (17 ก.ค. 67) นายปณต เขตสันต์เทียะ ทีมกฎหมายของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หรือ “บิ๊กแจ๊ส” อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อดีตนายก อบจ.ปทุมธานี)  ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ของ นายชาญ พวงเพ็ชร์ เนื่องจากพบว่าขาดคุณสมบัติ 

นายปณต กล่าวว่า มาตรา 50 ตามพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือบริหารท้องถิ่น 2562 กำหนดลักษณะต้องห้ามของบุคคลมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ว่า (8) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 

ผู้สมัครรายดังกล่าว ในอดีตเคยดำรงตำแหน่งนายก อบจ. ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยมีคำสั่งที่35/2560 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ. ในขณะนั้น รวมถึงให้พ้นจากหน้าที่โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน 

แม้ต่อมานายกรัฐมนตรีจะได้มีคำสั่งให้กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่ในปี 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลว่า กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ กรณีการจัดซื้อถุงยังชีพ เมื่อปี 2555 และยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริต จึงเห็นผู้สมัครรายดังกล่าวขาดคุณสมบัติ ในการลงสมัครนายก อบจ.ปทุมธานีในครั้งนี้ และขณะนี้ กกต. ยังไม่รับรองผลการเลือก นายกอบจ.ปทุมธานี จึงได้นำหลักฐานดังกล่าวจึงมายื่นร้อง

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ระบุว่าจะไม่ยื่นเรื่องร้องเรียน นายปณต กล่าวว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ไม่ได้ติดใจการแพ้ชนะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งจะเป็นผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป และครั้งที่ผ่านมา ว่าบุคคลที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติแล้ว กกต.ตรวจไม่พบ หรือ มีเหตุอะไรก็แล้วแต่ 

เพราะคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นคำสั่งคสช.ในปี 2560 และในปี 2563 ที่ลงสมัคร ไม่มี คสช.แล้ว กกต.ก็อาจไม่ได้ตรวจสอบไปยังหน่วยงานดังกล่าวว่า เคยถูกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะการถูกชี้มูลให้มีความผิด ผลก็คือ ทำให้หมดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง นับแต่วันที่ถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรื่องของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์

"ลำพังตัวท่านบอกว่า แพ้ก็แพ้ แต่ทีมกฎหมายเสนอว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมายไม่ใช่เฉพาะตัวท่าน และจะเป็นบรรทัดฐานต่อไปว่า บุคคลที่ถูกชี้มูลแล้ว ถ้ายังสามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะลงที่ไหนอย่างไร ก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ว่ามีคุณสมบัติที่จะรับหรือไม่รับ"

เมื่อถามว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะและให้มีการจัดเลือกตั้งใหม่ใช่หรือไม่ นายปณต กล่าวว่า ต้องการให้ผลคดีถึงที่สุด ว่าการกระทำของบุคคลผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ถ้ามีมูลความผิดอาญาฐานประพฤติมิชอบ โดยเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต สามารถไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารทั้งระดับท้องถิ่น หรือเลือกตั้งระดับชาติได้หรือไม่  

“เป็นเรื่องของกฎหมาย ที่ควรวินิจฉัยให้เป็นบรรทัดฐาน ว่าถ้าผู้ขาดคุณสมบัติเคยถูกชี้มูลให้มีความผิดฐานทุจริต และศาลประทับรับฟ้องก่อนแล้วจะยังคงลงสมัครได้หรือไม่ ถามว่าถ้ามีคำสั่งศาลรับฟ้องก่อนแล้ว แต่ยังคงลงสมัครได้ มันจะผิดหรือเปล่า มันควรจะเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐาน ซึ่งใช้บังคับได้ต่อไป จึงอยากให้กกต. วินิจฉัย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการสัมภาษณ์ นายปณต พยายามหลีกเลี่ยงที่จะระบุชื่อนายชาญ โดยระบุเพียงว่า ผู้สมัครรายหนึ่งเท่านั้น