ปปช.ฟันอาญา-จริยธรรมร้ายแรง"ณัฏฐ์ชนน"สส.ภูมิใจไทยรับเงินค่ารักษาพยาบาล

02 ม.ค. 2568 | 06:18 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ม.ค. 2568 | 06:23 น.

ป.ป.ช.ฟันอาญา พ่วงจริยธรรมร้ายแรง "ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ" สส.สงสขา พรรคภูใจไทย รับเงินค่ารักษาพยาบาล เสนออัยการสูงสุด ฟ้องศาลฎีกานักการเมือ และฟ้องศาลฎีกาเอาผิดจริยธรรมร้ายแรง

วันที่ 2 ม.ค. 2568 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ที่ประชุมป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดสงขลา  พรรคภูมิใจไทย กรณีถูกกล่าวหารับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากบุคคล เนื่องจากยอมให้บุคคลอื่นชำระค่ารักษาพยาบาลแทนให้แก่ตนเอง  

ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายณัฏฐ์ชนน  เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2562 และวันที่ 23 กันยายน -วันที่ 18 ตุลาคม 2562 มีค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งสิ้น 1,449,223 บาท โดยได้ยอมให้บุคคลอื่นชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลแทนตนเอง รวมเป็นเงิน 1,335,778 บาท 

และได้นำใบเสร็จรับเงินค่ารักษาไปเบิกค่ารักษาพยาบาลจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวนณ 495,409.50 บาท มีส่วนที่เกินจิตไม่สามารถเบิกจ่ายได้เป็นเงินจำนวน 953,813.50 บาท  

ต่อมา นายณัฏฐ์ชนน  ได้เสนอแต่งตั้ง 1 ใน 3 รายที่ชำระค่ารักษาพยาบาลแทนตนเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัวตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่ 2455/2563 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2563 

การกระทำของ นายณัฏฐ์ชนน จึงเป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้อื่น นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย 

คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติเห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ประกอบมาตรา 169 และมีความผิดฐานฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้ง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 9 ข้อ 10 และข้อ 17 ประกอบข้อ 3 และข้อ 27  

โดยส่งรายงานจำนวนการไต่สวนเอกสารพยานหลักฐาน และความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และให้เสนอเรื่องกรณีฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรงต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ต่อไป