นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค พร้อมคณะผู้บริหารพรรค ร่วมกันแถลงเปิดนโยบาย เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง และขับเคลื่อนประเทศ บนแนวคิด “งานดี-มีเงิน-ของไม่แพง!”
นายสุวัจน์ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังจะครบเทอม พรรคการเมืองทุกพรรคก็เตรียมนโยบาย พรรคชาติพัฒนากล้า ก็เป็นพรรคหนึ่งที่ต้องเตรียมความพร้อม เข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เป็นปัญหาหลักที่ต้องเข้ามาแก้ไข
ทุกพรรคต้องร่วมมือกันในการนำเสนอนโยบาย เพื่อให้ประชาชนมีความหวังว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นทางออกของประเทศ พรรคชาติพัฒนากล้า จึงขออาสาเข้ามาทำงานตรงนี้ โดยมีแนวคิดว่า “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” สร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจใหม่
สำหรับนโยบาย 12 เรื่อง คือ
1.นโยบายในเรื่องการที่จะสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่จะมาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจที่จะนําไปสู่เม็ดเงิน ประมาณ 5 ล้านล้านบาท
2.นโยบายลดค่าใช้จ่าย จะจัดโครงสร้างภาษีใหม่ บุคคลเงินเดือน 40,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี
3.นโยบายสร้างเกษตรใหม่ที่จะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ทางด้านเศรษฐกิจ เป็นจุดแข็งของประเทศ
4.นโยบายสินเชื่อ จากปัญหาเรื่องเครดิต จะผ่อนคลายให้ทุกคนกลับมาใช้สินเชื่อกันได้ใหม่
5.นโยบายการใช้ระบบดิจิทัลมาปรับปรุงระบบราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว โปร่งใส
6.นโยบายทางด้านการท่องเที่ยว ที่จะมาสร้างเงิน สร้างงาน สร้างรายได้ เพิ่มนักท่องเที่ยว 2 เท่า
7.นโยบายด้านพลังงานในเรื่องของราคาไฟฟ้าและราคาน้ำมัน
8.นโยบายด้านการศึกษา เพิ่มทักษะให้คนมีโอกาสทำงานมากขึ้น ประเทศไทยต้องเรียนรู้หลายภาษา
9.นโยบายทุนธุรกิจสร้างสรรค์ สูงสุดรายละ 1 ล้านบาท ไม่จำกัดวุฒิและวัย
10.นโยบายสูงไวไฟแรง งานใหม่ 500,000 ตำแหน่ง
11.นโยบายอารยสถาปัตย์ปรับปรุงบ้าน 50,000 บาทให้ผู้สูงวัยและผู้พิการ
12.นโยบายมอเตอร์เวย์ทั่วไทย 4 ทิศ 2,000 กิโลเมตร
ขณะที่นายกรณ์ กล่าวย้ำถึง นโยบายลดภาษีให้คนทำงาน ที่เงินเดือนไม่ถึง 40,000 บาท เพราะค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างมาก แต่ภาษีไม่เคยปรับลดเลย ขณะที่รัฐบาลดภาษีนิติบุคคลของบริษัทขนาดใหญ่จาก 30% เหลือ 20% ตอนนี้รายได้รัฐเริ่มฟื้น สำนักงบประมาณประมาณการรายรับจะเพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะลดภาระคนทำงาน 4 ล้านคน ซึ่งนโยบายนี้ มีพรรคร่วมรัฐบาลเคยหาเสียงไว้ แต่ตลอด 4 ปีที่มาไม่ได้ทำ
หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ยังกล่าวเปิดนโยบายรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่จะสร้างรายได้ให้ประเทศไทยได้อีก 5 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี ด้วยยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเฉดสี (Spectrum Economy) โดยเริ่มจาก “เศรษฐกิจสีเขียว” กรีนอีโคนีมี เศรษฐกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน ต้องแยกระบบสายส่งออกจากการไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อขายไฟฟ้าผ่านระบบสายส่งของรัฐ
ขยายพื้นที่ป่าเป็น 40% หรือ 26 ล้านไร่ของประเทศ ด้วยการออกพันธบัตรป่าไม้มูลค่า 65,000 ล้านบาท สร้างรายได้ให้ประชาชน
ทั้งการขายพืชเศรษฐกิจและคาร์บอนเครดิต , “เศรษฐกิจสีเทา” เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี ธนาคารโลกระบุว่า ประเทศไทยมีเศรษฐกิจสีเทาแฝงอยู่ในระบบเศรษฐกิจมากเป็นอันดับต้นของโลก สูงถึง 50% ของจีดีพี แต่ขาดให้โอกาสในการเก็บภาษีเข้ารัฐ จึงเสนอให้มีกาสิโนในรีสอร์ทเหมือนสิงคโปร์ ที่มีรายได้ในส่วนนี้ 2 แสนล้านบาทต่อปี
“เศรษฐกิจสีขาว” เศรษฐกิจสายมู ตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวสายมูที่เป็นเทรนด์ใหม่ในโลก จังหวัดละ 1 พันล้าน
“เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” เศรษฐกิจสายเทค สร้างโอกาสด้านดิจิทัลอีโคโนมี 1.75 ล้านล้านบาท สร้างโอกาสให้คนไทยใน เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม ที่ทำได้ก่อนคือการท่องเที่ยว สามารถจองห้องจองโรงแรม และธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้เอง โดยไม่ต้องแบ่งรายได้ให้กับเจ้าของแพลตฟอร์ม ทำให้เราสูญเสียโอกาสไปมาก
นอกจากนี้เทคโนโลยีจะมาช่วยแก้ปัญหาล็อตเตอรี่ไม่ให้เกิน 80 บาท โดยขยายเพิ่มเป็น 50 ล้านใบ เมื่อรัฐบาลขายเอง ผ่านแอปตัวเอง และไม่ต้องจ่ายค่าการตลาดให้กับยี่ปั๊ว ทำได้ เงินกลับเข้าสู่กระเป๋าประชาชนเกือบ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี
นายกรณ์ได้ชู" เรนโบว์อีโคโนมี"หรือเศรษฐกิจสีรุ้ง จากความเท่าเทียมสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อสูงสุด 1 ล้านล้านบาททุกปี เริ่มด้วยการปรับกฎหมายให้สมรสได้และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรองรับกำลังซื้อใหญ่จากทั่วโลก
รวมไปถึง ซิลเวอร์อีโคโนมีหรือเศรษฐกิจสีเงิน ชูเศรษฐกิจวัยเก๋า สร้างบ้านผู้สูงอายุ ปรับปรุงบ้าน 5 หมื่นล้าน 1 ล้านครัวเรือน ลดสถิติคนสูงอายุล้มในบ้านปีละ 2 ล้านคน”
“ทุกนโยบายเศรษฐกิจ ทุกการรื้อโครงสร้างเหล่านี้ จะทำให้คนไทยมีงานดี มีเงิน และของไม่แพง เรามีนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ได้มุ่งใช้เงิน แต่เรามียุทธศาสตร์หาเงินใหม่เข้าประเทศ รองรับการทำงานของรัฐบาลในอนาคตต่อไป”
พร้อมทั้งฝากพี่น้องประชาชนพิจารณาพรรคชาติพัฒนาเป็นตัวเลขเข้าไปทำงานด้านเศรษฐกิจเพื่อชาติบ้านเมืองต่อไป นายกรณ์กล่าวทิ้งท้ายว่า