นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยถึง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ จากมาตรการรัฐบาลดูแลฉีดวัคซีน รักษาความปลอดภัยด้านสุขภาพสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มตามลำดับ
ส่วนสินเชื่อภาพรวมทั้งปี 2565 ยังคงเป้าเติบโตสินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 4-6% โดยมาจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ธุรกิจรายย่อย 4-6% และสินเชื่อเอสเอ็มอี 1-3% สอดคล้องกับประมาณการเศรษฐกิจไทยหรือจีดีพี ที่คาดว่าจะเติบโต 3-4% ส่วนเรื่องสินเชื่อบริษัทการบินไทยนั้น ธนาคารพร้อมพิจารณา เพราะอยากให้บริษัทมีความแข็งแรงและก้าวต่อไป
สำหรับลูกค้าของธนาคารนั้น ธนาคารพยายามสนับสนุนให้ลูกค้าปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงโดยให้สินเชื่อระยะยาว เพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงธุรกิจรองรับการเติบโต รวมถึงกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่พยายามมีนโยบายสนับสนุน เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ภายใต้ความผันผวน และรัฐบาลก็มีมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวแม้จะมีความผันผวนต่างๆ
ต่อข้อถามถึงการควบรวมกิจการธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซียนั้น นายชาติศิริระบว่า ผลดำเนินงานออกมาค่อนข้างดี โดยอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพดี นอกจากมีประชากร 270ล้านคน ยังได้รับประโยชน์พอสมควรจากทรัพยากรธรรมชาติ และเกษตร
ขณะที่ธนาคารกรุงเทพสามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมต่อไปและลูกค้าคนไทยสามายขยายฐานส่งออกได้ รวมถึงการขยายฐานไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งเวียดนาม
นายชาติศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด)ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50%นั้น เป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อระบบการเงินเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายด้านระบบการเงิน ซึ่งเฟดระบุชัดเจนว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายระยะต่อไปอีก
“ผมเชื่อว่าเฟดส่งสัญญาณเพื่อให้ตลาดทราบเพื่อลดความผันผวนต่างๆไม่ทำให้เกิดผลกระทบ แต่เป็นการปรับดอกเบี้ยไปสู่ปกติให้สอดคล้องระบบเศรษฐกิจสหรัฐ สำหรับเศรษฐกิจไทยจะเป็นอีกลักษณะซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลระบบการเงินและนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของไทย ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและเป็นการช่วยลูกค้า”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การประชุมเฟดครั้งสำคัญที่ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งปรับขึ้นมากที่สุดภายในกว่า 20ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเฟดส่งสัญญาณจะปรับขึ้นดอกเบี้ยลักษณะนี้ต่อไปอีก ซึ่งปลายปีจะเห็นดอกเบี้ยเฟดอยู่ที่ระดับ 3.25% ซึ่งจะกดดันต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ พอสมควร
แต่เศรษฐกิจไทยมีความแตกต่างจากประเทศอื่น เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ โดยสามารถรอภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี
“ในแง่เงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น ยังน่ากังวล ซึ่งขึ้นอยู่กับไทยจะบริหารจัดการเศรษฐกิจได้ดีแค่ไหน หากบริหารได้ดีไทยก็จะไม่เป็นเป้า เราต้องทำตัวให้ไม่มีปัญหา ส่วนแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าระยะต่อไปมีดอกาสเห็น 34.50บาท/ดอลลาร์ ซึ่งปี 2559 ค่าเงินบาทเคยอ่อนค่า 35-36บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งต้องรอดูว่าธปท.จะดำเนินนโยบายให้เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใด”