บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) ร่วมลงนามในสัญญาเงินกู้ รวมมูลค่า 600 ล้านบาท กับ 3 สถาบันการเงิน นำโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM) ภายใต้โครงการ E Smart Bangkok Mass Rapid Transit Electric Ferries ของธนาคารพัฒนาเอเชีย ซึ่งให้การสนับสนุนเงินกู้แก่บริษัทฯ จำนวน 160 ล้านบาท พร้อมทั้งช่วยระดมเงินทุนจากกองทุนเทคโนโลยีสะอาด (CTF) ซึ่งเป็นกองทุนที่สนับสนุนด้านการเงินในรูปเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำแก่การลงทุนทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อลดระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำนวน 120 ล้านบาท พร้อมด้วยการสนับสนุนจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น จำนวน 160 ล้านบาท และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน 160 ล้านบาท เพื่อให้ทางบริษัทฯ นำเงินไปใช้ขยายการเติบโตของโครงการเรือไฟฟ้า MINE SMART FERRY
นายอมร ทรัพย์ทวีกุล กรรมการบริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ เปิดเผยว่า “การได้รับเงินสนับสนุนจากพันธมิตรทางการเงินในครั้งนี้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำของกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ในด้านนวัตกรรมพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย โดยบริษัทฯ จะนำเงินไปลงทุนเพื่อการเติบโตของเรือไฟฟ้า MINE SMART FERRY เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการเข้าถึงระบบคมนาคมให้แก่ประชาชนได้อย่างครอบคลุม ยกระดับพัฒนาเมืองและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน”
ปัจจุบันเรือโดยสารไฟฟ้า MINE SMART FERRY เปิดให้บริการในแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 23 ลำ และมีเรือไฟฟ้าประเภทเรือท่องเที่ยวอีก 4 ลำ ที่พร้อมให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งเรือโดยสารไฟฟ้า MINE SMART FERRY จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 18,900 ตัน เทียบเท่าคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี “เงินกู้จากโครงการนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อยกระดับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพฯ ให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดมลภาวะอย่างยั่งยืน โดยเงินเป็นเงินกู้ดังกล่าวมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของบริษัทในปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง สนับสนุนการเติบโตและสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้แก่นักลงทุน ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง” นายอมร กล่าวทิ้งท้าย