โดย “กรมชลประทาน” น้อมนำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “ลดน้ำยามท่วม เติมน้ำยามแล้ง แปลงดินยามเปรี้ยว พัฒนาอาชีพเพื่อคุณภาพชีวิต” สร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล ผ่านมา 29 ปี จะครบ 30 ปี ในปี 2566
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เผยว่า “เขื่อนขุนด่านปราการชล” โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตั้งอยู่ที่บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก อยู่ในลุ่มน้ำนครนายก สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากที่เกิดกับประชาชนชาวนครนายก และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่ง “ตัวเขื่อน” ประกอบด้วยเขื่อนหลักและเขื่อนรองสร้างด้วยคอนกรีตบดอัด ปัจจุบันเป็น เขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก มีความยาวรวม 2,720 เมตร ความสูง ( สูงสุด ) 93 เมตร รับน้ำที่ไหลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำมีความจุ 224 ล้าน ลบม.ก่อนหน้านี้
โดยสถานการณ์ก่อนหน้าที่จะจะมีเขื่อน ลุ่มน้ำนครนายก มีลักษณะภูมิประเทศผสมผสานระหว่างหุบเขาแคบและพื้นที่ลาดชัน ในช่วงฤดูฝนจะเกิดน้ำไหลบ่ารุนแรง เข้าท่วมพื้นที่ไร่นาและบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่ทางตอนล่าง ได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง ขณะเดียวกันพื้นที่ส่วนที่เป็นพื้นที่ลาดชัน มีระดับน้ำใต้ดินต่ำ จึงไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใต้ดินได้ เมื่อถึงฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วง จึงเกิดความแห้งแล้งจนไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ แม้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา จะมีการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาแล้วก็ตาม แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งในลุ่มน้ำนครนายกให้หมดไปได้
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชดำริ ให้กรมชลประทานพิจารณาโครงการและก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองท่าด่าน พร้อมพระราชทานแผนที่ที่ตั้งเขื่อนเก็บกักน้ำ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส ต่อมาในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับโครงการเขื่อนคลองท่าด่านอีกครั้ง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
“กรมชลประทาน” ได้น้อมรับกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว มาดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ จนได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินโครงการฯ ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลักการที่ว่า “ลดน้ำยามท่วม เติมน้ำยามแล้ง แปลงดินยามเปรี้ยว พัฒนาอาชีพเพื่อคุณภาพชีวิต” เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 และเริ่มเก็บกักน้ำได้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 โดยสามารถเก็บกักน้ำได้สูงสุดประมาณ 224 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นแหล่งน้ำต้นทุนเพื่ออุปโภคบริโภคและพื้นที่เกษตรกรรมรวมกว่า 185,000 ไร่ รวมไปถึงการรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้ง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่สร้างรายได้เสริมด้านการประมงและการท่องเที่ยวให้แก่ราษฎรในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และปัจจุบันกลายเป็นแลนด์มาร์คของจังหวัดที่ห้ามพลาดเมื่อได้มาเยือนที่ “นครนายก”