เปิดใจ 2 คีย์แมน “สยามพิวรรธน์” “อัมพร โชติรัชสกุล และ ณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร” ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการสร้าง “ผู้นำคนรุ่นใหม่” ภายใต้แนวคิด Making The Impossible Possible ที่พร้อมทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ มุ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการเติบโตสำหรับทุกคน พร้อมรับมือต่อทุกการเปลี่ยนแปลงในอนาคต หรือ Future ready organization รองรับการขยายธุรกิจ Local – Global สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
การเผชิญวิกฤตนานัปการ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ทำให้หลายองค์กรลุกขึ้นมาปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น แต่ “สยามพิวรรธน์” ที่ยังคงเดินหน้าได้อย่างมั่นคง แข็งแรง และฟันฝ่าวิกฤตต่างๆมาได้ เกิดจาก “บุคลากร” ที่รวมพลังกันเดินหน้าและช่วยกันขับเคลื่อน ถือเป็นต้นแบบองค์กรที่น่าสนใจ ซึ่งวันนี้ 2 คีย์แมนคนสำคัญอย่าง “อัมพร โชติรัชสกุล” และ “ณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร” ได้มาเปิดใจถึงเบื้องหลังความสำเร็จที่เกิดขึ้น
ต้องพร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคต
“อัมพร โชติรัชสกุล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เล่าให้ฟังว่า สถานการณ์โควิด-19 เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของ “สยามพิวรรธน์” ที่ก้าวผ่านวิกฤตมาได้ทุกยุคสมัย เพราะสามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น มี Mindset Skillset ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กรในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เตรียมความพร้อมด้วย Digital Capability และเป็น Data-led organization โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีคุณภาพขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นใหม่ และวันนี้ “ผู้นำรุ่นใหม่” ของสยามพิวรรธน์พร้อมขับเคลื่อน เพื่อตอบโจทย์การทำธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และสร้างการเติบโตได้สำเร็จในอนาคตอันใกล้
สยามพิวรรธน์ เดินหน้าเสริมแกร่งและยกระดับความเป็นเลิศด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resources - HR) ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่นมากขึ้น และเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพขึ้นเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนองค์กรยุคใหม่ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เตรียมขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการเติบโตที่ดีและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกภาคส่วน (Well-growing platform) ที่พร้อมรับมือต่อทุกการเปลี่ยนแปลงสำหรับอนาคต (Future ready organization)
“ปัจจุบันสยามพิวรรธน์มีพนักงานที่เป็นกลุ่มเจน Y และ เจน Z จำนวน 67% ของพนักงานทั้งหมดกว่า 2,500 คน และในเวลา 5 ปีที่ผ่านมามีพนักงานเจน Z เพิ่มขึ้นประมาณ 6% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามแนวทางกลยุทธ์องค์กรที่ต้องการสร้างทีมที่มีศักยภาพ และผลักดันผู้บริหารคนรุ่นใหม่ (Middle Management) ให้ได้มีโอกาสก้าวเข้ามาทำโครงการใหญ่ๆ มากยิ่งขึ้น”
ความท้าทายในยุคนี้ คือ การสร้างความพร้อมให้กับองค์กรในการบริหารจัดการคนจากหลากหลายเจนเนอเรชั่นให้ได้ทำงานร่วมกันและนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ และเติบโตไปพร้อมกัน
หัวใจของการเติบโตที่ยั่งยืน
อัมพร บอกอีกว่า “การพัฒนาศักยภาพของพนักงาน คือหัวใจของการเติบโตที่ยั่งยืน สยามพิวรรธน์จึงมุ่งพัฒนาองค์กรเป็น future ready organization ในปี 2024 ซึ่งจะเป็นปีแห่งการวางรากฐาน และเตรียมความพร้อมขององค์กรในการขยายธุรกิจทั้ง Local และ Global ด้วยการพัฒนาความสามารถและทักษะแห่งอนาคตให้แก่พนักงาน ตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงาน มีการออกแบบเส้นทางการเติบโตของ Talent ให้สอดรับกับกลยุทธ์องค์กรในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการกลยุทธ์องค์กร (Strategic Planning) การบริหารธุรกิจ (Business Management) ไปจนถึงภาวะผู้นำ (Leadership) เพื่อพร้อมสำหรับการแข่งขันในโลกอนาคต (Global Perspective) การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงานอย่างไร้ขีดจำกัด (Empower limitless possibilities) ให้พนักงานมีความมั่นใจ สามารถบริหารจัดการ หรือตัดสินใจภายใต้บทบาทและความรับผิดชอบของตนเอง ซึ่งถือเป็นการเพิ่มศักยภาพให้พนักงานอีกทางหนึ่ง
ขณะที่ “ณัฐวุฒิ เกียรติไชยากร” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด คีย์แมนคนสำคัญในการขับเคลื่อน “พนักงาน” ให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันภายใต้ แนวคิด Making The Impossible Possible ด้วยการทำงานเป็นทีม (Work as One) บอกว่า
วันนี้สยามพิวรรธน์ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรสำหรับการทำงานในโลกยุคใหม่ โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในทุกเจนเนอเรชั่นให้ได้พัฒนาศักยภาพอย่างไร้ขีดจำกัด (Empower limitless possibilities) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมต่อการขยายตัวธุรกิจขององค์กรในอนาคต
กลยุทธ์ขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ
การขับเคลื่อนในวันนี้จึงเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ 4 ด้าน ประกอบไปด้วย
1. Future Workforce: เตรียมความพร้อมตั้งแต่การรับสมัครพนักงาน หรือ Talent เข้ามาร่วมงาน โดยคัดสรรจาก Candidate ที่เป็น Profile ที่แตกต่าง หลากหลาย และมีความชำนาญในเรื่องใหม่ๆเพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจรีเทลที่เปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัลยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาและเปิดตัว ONESIAM SuperApp เรือธงในการทำธุรกิจแบบออมนิชาแนล ทำให้มีกลุ่มพนักงานสายดิจิทัลและข้อมูล (Data) เข้ามาเพิ่ม มาผสมผสาน และทำงานร่วมกับกลุ่มพนักงานรีเทลมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มนี้คิดเป็น 10% ของพนักงานทั้งหมด
2. Future Workplace: ปรับเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานให้เหมาะกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงานในยุคปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของพนักงาน ด้วยการสร้างพื้นที่ทำงานร่วมกัน (Co-working Space) ในมุมต่างๆ ของสำนักงาน ใช้การออกแบบที่เน้นความทันสมัย เปิดโล่งเน้นความโปร่งใส สะท้อนการผสานการทำงานและการใช้ชีวิตร่วมกัน (Work-life Integration) พร้อมทั้งมีการดูแลพนักงานทั้งทางด้าน Physical และ Mental Well-being อย่างดีครบทุกด้าน
3. Future Skills: เตรียมพร้อมพนักงานให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในปัจจุบันที่นอกเหนือจาก Functional Skill โดยสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาทั้ง Digital Skill และ Human Skill ให้มีการเทรนนิ่งคอร์สใหม่ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น จัดการอบรมเรื่อง ChatGPT ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานทั้งองค์กร โดยล่าสุดได้เซ็น MOU กับ LinkedIn Learning แพลตฟอร์มการเรียนรู้ระดับโลก ซึ่งพนักงานสามารถเลือกเรียนรู้คอร์สออนไลน์ และพร้อม Upskill – Reskill ด้วยตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา ได้มากกว่า 21,000 คอร์ส
4. Future Culture: ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบ Work as One พร้อมสร้าง Mindset ให้พนักงานในเรื่องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ (Make the Impossible Possible) เพื่อให้กล้าคิด กล้าทำ และพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างไร้ขีดจำกัด ผ่านการสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจระหว่างพนักงานในองค์กร ด้วยการเปิดรับฟังเสียงของพนักงานผ่านแคมเปญ We Care We Dare ที่ส่งเสริมให้ผู้บริหารระดับสูง Engage กับพนักงานมากยิ่งขึ้นและเปิดเวทีให้พนักงานได้รับ Empowerment ในการทำงานด้วยศักยภาพที่มีอยู่อย่างสูงสุด
สยามพิวรรธน์มุ่งมั่นที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมต่อการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ และนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่โลกอนาคตด้วยการปรับกระบวนการทำงาน สร้างทีมที่แข็งแกร่ง มีคุณภาพรับมือกับทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง และเพื่อครองความเป็น Top of Mind เป็นที่หนึ่งในใจไม่เฉพาะลูกค้า และรวมถึงพนักงาน เพื่อเป็น Employer of choice สำหรับทุกคน
การันตีด้วยรางวัลระดับโลก
บทพิสูจน์ความแข็งแรงของ “สยามพิวรรธน์” ในวันนี้คือ รางวัลมากมายที่ได้รับจากสถาบันด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ปี 2566 ได้รับรางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2023 ซึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกันที่สยามพิวรรธน์ได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในเอเชียจาก HR Asia และยังได้รับรางวัล Diversity, Equity & Inclusion Award จากสถาบันเดียวกัน สะท้อนถึงองค์กรที่โดดเด่นในด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วม รวมทั้งได้รับรางวัลชนะเลิศระดับโกลด์ในสาขา Excellence in HR Communication Strategy และ Excellence in CSR Strategy จาก HR Excellence Awards 2023 และ รางวัลความเป็นเลิศทางธุรกิจระดับสากลจาก Enterprise Asia Linchpin of Asia Awards 2023 นอกจากนี้ ในปี 2565 บริษัทยังได้รับรางวัลที่แสดงถึงความเป็นเลิศในด้านการบริหารจัดการวิกฤต คือ รางวัล Excellence in Crisis Management and Recovery และ รางวัลระดับบรอนซ์ สาขา Excellence in Women Empowerment Strategy จากงาน HR Excellence Awards 2022