ผ่ามุมคิด
ท่ามกลางบรรยากาศตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นใจ หลายดีเวลอปเปอร์ไทยถอดใจ พยายามไม่เปิดโครงการใหม่ และหันไปเคลียร์สต๊อกเก่า อัดโปรฯ ขายคล่องแทน ขณะกลุ่มทุนยักษ์ต่างชาติ สัญชาติฮ่องกงอย่าง “ริสแลนด์ ประเทศไทย” กล้าสวนกระแส เดินหน้าขยายอาณาจักรทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง หวังไทยเป็นฮับการลงทุนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่าน 4 โปรเจ็กต์ใหญ่ ปี 2563 มูลค่ารวมมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท นายเนี่ย ซงเซียน หัวเรือใหญ่บริษัท ประจำภูมิภาคไทย ระบุแม้ตลาดอสังหาฯไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ยังมั่นใจกำลังซื้อในประเทศระยะยาว จับจังหวะวิกฤติไวรัส เป็นโอกาส ลุยสร้างตัวตน ภายใต้เป้าหมาย ขึ้นติด Top 3 ในกลุ่มทุนต่างชาติ วางกลยุทธ์ปีเสี่ยง “ล้มเร็ว ลุกเร็ว ลุยแล้ว ลุยให้สุด”
ไม่กลัวความเสี่ยง
ยอมรับว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาฯไทยในปีนี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่อง และล่าสุดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิค-19) ยิ่งซํ้าเติมบรรยากาศที่ซบเซาอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้มีความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจ และทำการตลาดไม่น้อย แต่แม้บริษัทมองจังหวะนี้เป็นอุปสรรคอยู่บ้าง ก็ไม่ได้กังวลใจมากนัก ภายใต้หลักคิด “ต้องก้าวผ่านไปให้ได้” ยกเว้นการจัดอีเวนต์ ลดการขายตรง รวมตัว เผชิญหน้าของคนหมู่มาก และหันไปให้ความสำคัญกับการตลาดแบบ online booking แทน อย่างไรก็ตาม พบลูกค้ายังเข้าไปติดต่อ จอง-ซื้อ ณ โครงการเป็นปกติ จึงเลือกที่จะลุยต่อ ผ่านการเตรียมเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 3.04 หมื่นล้านบาท รวม 5,960 หน่วย ได้แก่ ทำเลสุขุมวิท,รามคำแหง, หัวเมืองใหญ่อย่างภูเก็ต
เนี่ย ซงเซียน
พลิกวิกฤติเป็นโอกาส
แผนดำเนินธุรกิจดังกล่าว เป็นไปภายใต้ความกล้า เพราะมองว่าตลาดไทยยังมีโอกาส และถือเป็นจังหวะดีของกลุ่มทุนต่างชาติ 100% อย่าง ริสแลนด์ เนื่องจากช่วง 3 ปีที่เข้ามาลงทุน บริษัทกดดันจากการต้องซื้อ-หาที่ดินในราคาที่แพงกว่าผู้พัฒนาของไทย แต่ขณะนี้ตลาดซบเซา ทำให้ผู้พัฒนาเจ้าใหญ่ ชะลอการลงทุนกันไปมาก ทั้งยังมีที่ดินราคาเหมาะสมในตลาดให้เลือกสรร จึงอาศัยความแข็งแกร่งทางการเงินที่มี เก็บแลนด์แบงก์เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต และมั่นใจว่าความแข็งแกร่งดังกล่าวจะประคองตัวเองได้ดีจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย อีกทั้งช่วงเวลานี้ ถือเป็นจังหวะลุยการทำตลาด และขายได้อย่างเต็มที่อีกด้วย เพราะคาดว่าซัพพลายใหม่จะหายไปค่อนข้างมาก ชูจุดเด่นเรื่องราคา ที่ทำได้ตํ่ากว่าท้องตลาด เอื้อมถึงได้ เนื่องจากบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี เช่น บิ๊กโปรเจ็กต์ ย่านสุขุมวิท 64 ราคาที่เปิดตัวจะตํ่ากว่าท้องตลาดนับ 20% เป็นการลองผิดลองถูก เพราะไม่ต้องการเกิดภาพ ขายแพง ขายยาก เช่นในปัจจุบัน
“ขณะนี้หลายคนหยุด แต่เราเลือกจะลุยต่อ จับโอกาสช่วงที่ทุกคนกลัวเสี่ยง อยู่กันแบบเงียบๆ น่าจะวิ่งได้เร็ว อาศัยจุดเด่นเรื่อง ทำเลดี เช่น โซนสุขุมวิท รามคำแหง ที่การคมนาคมสะดวก อัตราดูดซับยังดี”
top3 กลุ่มทุนต่างชาติ
นายเนี่ย ยังกล่าวว่า จังหวะความเงียบของตลาดขณะนี้ หากบริษัททำได้ดี มีภาพชัดเจนขึ้น จะนับเป็นโอกาสสร้างการเติบโตระยะยาวของบริษัทด้วย เนื่องจากต้องการเข้ามาลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น ตอกย้ำ 3 ปีที่ผ่านมาในไทย (ปี 2560-2563) ลงทุนแล้ว 8 โครงการ มูลค่า 5.13 หมื่นล้านบาท รวม 10,610 หน่วย ซึ่งเป็นจำนวนหน่วย และมูลค่ามหาศาลที่พอจะทำให้ติดอันดับ TOP 3 ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติอสังหาฯในไทย
หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,556 วันที่ 12-14 มีนาคม 2563