นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.2563) บริษัทสามารถสร้างยอดขาย (Presale) ได้ถึงกว่า 19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 88% ของเป้ายอดขายทั้งปี 21,500 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากความสามารถในการสร้างยอดขายทั้งโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการพร้อมอยู่ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในช่วงไตรมาส 3/2563 (ก.ค.-ก.ย.2563) ทำยอดขายได้ถึงกว่า 7,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ทำยอดขายได้ 6,578 ล้านบาท
สำหรับช่วงไตรมาส 3/2563 บริษัทมียอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร คิดเป็นสัดส่วน 19% และจากกลุ่มคอนโดมิเนียม 81% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มียอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move projects) 58% และจากกลุ่มโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง (Ongoing projects) ประมาณ 42% โดยโครงการเปิดตัวใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย คือโครงการดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut) ที่บริษัทใช้กลยุทธ์ Origin Next Normal, The 1st Wave เปิดขายโครงการผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ 100% ภายใต้ชื่อ www.evenprop.com โดยไม่มีสำนักงานขาย ทำให้สามารถลดต้นทุนการพัฒนาโครงการไปได้อย่างมาก สร้างวิธีการแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงโครงการ (Reaching Solution) ให้แก่ผู้บริโภค ด้วยราคาใหม่ที่คุ้มค่าและจับต้องได้ง่ายกว่าเดิม จนสามารถปิดการขาย (Sold Out) ในวันพรีเซลได้ภายใน 1 ชั่วโมง
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ช่วงไตรมาส 4/2563 บริษัทมีแผนทยอยเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,050 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียมแบรนด์ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) 1 โครงการ มูลค่า 2,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,550 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ในพื้นที่ EEC ภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา (Hampton Siracha) มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท กลุ่มบ้านจัดสรร ได้แก่ แบรนด์ แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,700 ล้านบาท, แบรนด์ เบลกราเวีย (Belgravia) 1 โครงการ มูลค่า 1,600 ล้านบาท และแบรนด์ ไบรตัน (Brighton) 1 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท
“ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เราพบว่า ผู้บริโภคยังคงมีความต้องการการซื้อที่อยู่อาศัย สังเกตได้จากยอดขายทั้งกลุ่ม Ready to move projects และกลุ่ม Ongoing projects ที่เรายังทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง ข้อสำคัญคือ ตัวโครงการต้องมีคุณภาพ ต้องเลือกเซ็กเมนท์และทำเลให้ถูกต้อง สำหรับทุกโครงการที่เราวางแผนจะเปิดในช่วงไตรมาส 4 นั้น ผ่านการคัดเลือก การวิเคราะห์ และการทำงานอย่างเข้มข้น เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในสภาวะปัจจุบัน เราจึงมั่นใจที่จะเปิดตัวโครงการตามแผนงาน ซึ่งจากกลยุทธ์และแผนงานต่างๆ ประกอบกับยอดขายสะสม 9 เดือนที่ทำได้แล้วถึง 88% บริษัทยิ่งมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถปิดยอดขายได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 21,500 ล้านบาท” นายพีระพงศ์กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเดินหน้าสร้าง Reaching Solution ให้ผู้บริโภคควบคู่กับการสร้างวิธีแก้ปัญหาสำหรับการอยู่อาศัย (Living Solution) โดยจะมีการประกาศกลยุทธ์ใหม่ต่อยอดจากไตรมาส 3/2563 ภายใต้ชื่อ “Origin Next Normal, The 2nd Wave” คาดว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดได้ในช่วงต้นไตรมาส 4/2563 นี้