นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยและทั่วโลกยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
กลายเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับภาคธุรกิจในทุกภาคส่วนกลับมามีความหวังอีกครั้งว่าการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในเร็ววัน เพื่อให้ภาคธุรกิจต่างๆ กลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ถือว่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวเป็นอย่างมากในปีพ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา
รวมถึงแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 โดยให้เป็นการท่องเที่ยวในพื้นที่จำกัด (seal area) โดยเริ่มจากพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และสามารถท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตได้โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งจากปัจจัยบวกเหล่านี้จะส่งผลให้กำลังซื้อทั้งในภาคการท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอาจกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี
สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมาตลาดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น สะท้อนให้เห็นผ่านอัตราการขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ร้อยละ 48.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 17.0
ขณะที่อุปทานเปิดขายใหม่ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมามีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่เพียงแค่ 10 โครงการ 3,608 ยูนิตเท่านั้น ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมเพียงแค่ 22,340 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 2,272 ยูนิต หรือคิดเป็นร้อยละ 38.6
ส่วนใหญ่นักพัฒนายังคงเลือกที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยเฉพาะแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง รองลงมาคือในพื้นที่รอบเมืองด้านทิศเหนือและพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน ขณะที่ช่วงระดับราคา 100,001 – 150,000 บาทต่อตารางเมตรและช่วงระดับราคา 50,001 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นช่วงระดับราคาที่มีการพัฒนามากที่สุดและสามารถขายได้มากที่สุดเช่นเดียวกัน
ซึ่งฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทยมองว่าในช่วงระดับราคาดังกล่าวจะเป็นช่วงระดับราคาที่ผู้พัฒนาให้ความสนใจและเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดและสามารถดูดซับได้ดีที่สุดในปีนี้
แต่อย่างไรก็ตามอุปทานที่ยังคงเหลือขายอยู่ในตลาดโดยเฉพาะอุปทานในส่วนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ รวมถึงภาพรวมของกำลังซื้อต่างชาติที่ยังคงชะลอตัว และผลตอบแทนจากการลงทุนที่ปรับตัวต่ำลงทั้งในส่วนของการลงทุนปล่อยเช่าที่เกิดการตัดราคาค่าเช่าเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เช่าในภาวะที่การแข่งขันค่อนข้างสูงแต่ดีมานด์มีอย่างจำกัด
อีกทั้งอุปทานคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลให้นักพัฒนาส่วนใหญ่เลือกที่จะยังไม่เปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงที่ผ่านมาและยังรอดูท่าทีและสถานการณ์ตลาดอีกครั้งสำหรับการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในปีนี้ ซึ่งนักพัฒนาหลายรายมีแผนที่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีเป็นต้นไปหากภาพรวมตลาดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่จะถึง ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะมีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประมาณ 4,500 ยูนิต ปรับตัวสูงขึ้นจากในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 50,000-150,000 บาทต่อตารางเมตร ในระดับราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นต่ำกว่า 2 ล้านบาทและ
และการเปิดตัวจะกระจายตัวอยู่ในพื้นที่รอบใจกลางเมืองที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวก รวมถึงแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากทำเลเหล่านั้นยังคงมีที่ดินรอการพัฒนาอีกเป็นจำนวนมากและราคาที่ดินที่ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับในพื้นที่ใจกลางเมือง และยังสามารถพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อยูนิตซึ่งเป็นราคาที่กำลังซื้อสามารถดูดซับได้ง่ายได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง