โอนห้องชุดต่างชาติ 9 เดือนปี67 มูลค่า 51,458 ล้านบาท จีนแชมป์- เมียนมาแรง

24 พ.ย. 2567 | 07:30 น.
อัปเดตล่าสุด :24 พ.ย. 2567 | 11:42 น.

REIC  ยอดโอนห้องชุด ต่างชาติ 10ประเทศ Q3 ปี 67 โต มูลค่า 18,571 ล้าน จีนแชมป์ -เมียนมาแรง พุ่ง 202%  ส่วน สถิติ 9เดือน หรือ 3 ไตรมาส   โอน 11,036 หน่วย เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปี ก่อนร้อยละ 3.1 แต่มูลค่าโอนลดลง 1.5% อยู่ที่ 51,458 ล้านบาท  จีน รัสเชีย ยังท็อป

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมีกำลังซื้ออ่อนแอ ดีเวลอปเปอร์ ต่างเร่งเครื่องเจาะตลาดต่างชาติมากขึ้น โดยไตรมาส3ของปีนี้ พบว่า10ประเทศ โอนกรรมสิทธิ์ ห้องชุดเพิ่มมากขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่า ขณะ9เดือนหรือ3 ไตรมาส มูลค่ากลับลดลง 

ยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ

สะท้อนจากนาย"กมลภพ วีระพละ" กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในภาพรวม โดย เฉพาะห้องชุดของชาวต่างชาติ  พบว่า การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ ไตรมาส 3 ปี 2567  มีจำนวน 3,756 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.6 และมีมูลค่าการโอน 18,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9

 

ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ 3 ไตรมาสแรกของปี 2567  หรือ9เดือน มีจำนวน 11,036 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.1 แต่มีมูลค่าการโอนลดลง 1.5% อยู่ที่ 51,458 ล้านบาท

โดยกลุ่มหลักจากจีน และ รัสเซีย แม้จะมีสัดส่วนการโอนห้องชุดมากในอันดับต้น ๆ แต่มีจำนวนและมูลค่าลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่เมียนมาและไต้หวัน มีจำนวนหน่วย และมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ เมื่อ พิจารณา หน่วยการโอนกรรมสิทธิ์  จีนลดลง 12.1% รัสเซียลดลง 16.8% รวมถึงมูลค่าจีนลดลง 18.3% รัสเซีย ลดลง 20% เป็นเพราะเศรษฐกิจภายในของประเทศ ส่วนเมียนมามีหน่วยโอนเพิ่มขึ้น 202.6% ไต้หวันเพิ่มขึ้น 61.9% ด้านมูลค่า พม่าเพิ่มขึ้น 142.9% ไต้หวันเพิ่มขึ้น 72%  โดยมีสาเหตุมาจาก ปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศอย่างรุนแรง ทำให้คนที่มีเงินกระจายออกมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในไทย โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว ทำให้ห้องชุดขายดี โดยเฉพาะภูเก็ตที่ยอดโอนสูง  นายกมลภพกล่าว

 

 สำหรับชาวต่างชาติ 10 ประเทศแรก ที่มีการโอนห้องชุดมากที่สุด สะสม 3 ไตรมาส(9เดือน) ปี 2567

 

อันดับ 1 จีน จำนวน 4,386 หน่วย มูลค่า 20,201 ล้านบาท

อันดับ 2 เมียนมา จำนวน 1,050 หน่วย มูลค่า 5,463 ล้านบาท

อันดับ 3 ไต้หวัน จำนวน 612 หน่วย มูลค่า 3,166 ล้านบาท

อันดับ 4 รัสเซีย จำนวน 800 หน่วย มูลค่า 2,750 ล้านบาท

อันดับ 5 สหรัฐอเมริกา จำนวน 436 หน่วย มูลค่า 2,297 ล้านบาท

อันดับ 6 ฝรั่งเศส จำนวน 403 หน่วย มูลค่า 1,763 ล้านบาท

อันดับ 7 เยอรมัน จำนวน 334 หน่วย มูลค่า 1,460 ล้านบาท

อันดับ 8 อินเดีย จำนวน 198 หน่วย มูลค่า 1,248 ล้านบาท

อันดับ 9 สหราชอาณาจักร จำนวน 303 หน่วย มูลค่า 1,201 ล้านบาท

อันดับ 10 ออสเตรเลีย จำนวน 218 หน่วย มูลค่า 1,116 ล้านบาท