“สกาลา” ราชาโรงภาพยนต์ของสำนักจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (PMCU) ย่านสยามสแควร์ ถูก พลิกโฉมสู่ ช็อปปิ้งสตรีท ระดับโลก โดยบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)หรือCPN ปิดฉาก โรงหนังสแตนด์อโลน แห่งสุดท้าย กลางใจเมืองบนแยกปทุมวัน
สะท้อนว่าความรุ่งเรืองของโรงหนังดังกล่าว จะเหลือเพียงซากความทรงจำ อาคารและที่ดินทำเลทอง รอ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เปลี่ยนโฉมเป็น โปรเจ็กต์ยักษ์มิกซ์ยูส ทันสมัยตามความนิยมในปัจจุบันเนื่องจาก เมืองเปลี่ยนแปลงมีรถไฟฟ้าผ่าน ที่ดินมีราคาสูง ผังเมือง เพิ่มความคุ้มค่าการใช้ประโยชน์ที่ดิน จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันโรงหนังในลักษณะดังกล่าวจะถูกทุบทิ้งกลายเป็นย่านพาณิชยกรรมสำคัญ
ย้อนไปในอดีต ก่อนห้างสรรพสินค้า จะมีอิทธิพล ดึงโรงหนังเข้าไปอยู่ในตัวอาคาร เฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร มีโรงหนัง สแตนด์อโลน เกือบ200 แห่ง ล้วนตั้งอยู่กลางย่านชุมชน ปัจจุบันเหลือเพียงตำนาน จากการสำรวจของ”ฐานเศรษฐ”พบว่า ในจำนวนนี้ยังเปิดกิจการ 3 แห่ง ทำเลสะพานควาย ,กลางใจเยาวราช และชินเขต งามวงศ์วาน บางแห่ง ปิดการให้บริการลงแล้ว แต่ไม่ต้องการขายที่ดิน แม้นายทุนจะทาบอย่างต่อเนื่องก็ตาม
สอบถาม ผู้ดูแล โรงหนังพหลเธียเตอร์ ติดสถานีBTSสะพานควาย ตรงข้าม มงคลรามาเดิม ที่บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด(มหาชน)ซื้อไปก่อนหน้า โดยระบุว่า เจ้าของบอกขายในราคากว่า2,000 ล้านบาท ที่ดินพร้อมอาคาร 5ไร่ ที่ผ่านมามีบริษัทพัฒนาที่ดินทุกแบรนด์ชั้นนำติดต่อขอซื้อ แต่ติดตึกแถวซึ่งเป็นที่ดินคนละเจ้าของ ล้อมอยู่
ทำให้ต้องเจรจาซื้อตึกแถวอาคารพาณิชย์บริเวณด้านหน้า เจาะทะลุเพื่อทำทางเช้าออก แต่มองว่าเป็นเรื่องยากเพราะเจ้าของอาคารไม่ต้องการขาย เช่นเดียวกับ โรงหนังงามวงศ์วานรามา บริเวณหน้าปากซอยชินเขต ที่หากมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลพาดผ่าน อาจขายขึ้นตึกสูงหรือไม่เจ้าของที่ดินอาจพัฒนาเอง
แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร(กทม.) ระบุว่า การพัฒนาที่ดิน เปลี่ยนไปตามความนิยม ดังนั้น โรงหนังสแตนด์อโลน จึงเป็นเป้าที่นักลงทุนให้ความสนใจเพราะ 1. ตั้งอยู่ กลางชุมชนขนาดใหญ่ 2.ทำเลติดรถไฟฟ้า-ถนนสายหลัก 3อาคารเตี้ย1-2ชั้น ง่ายต่อการรื้อถอนใช้ต้นทุนน้อย 4.มีเนื้อที่พอเหมาะพัฒนาโครงการ 5.ผังเมืองปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ขึ้นตึกสูงเพิ่มความหนาแน่น
ที่สำคัญ คนไม่สนใจใช้บริการ เพราะดูหนังผ่านสมาร์ทโฟน ไม่มีที่จอดรถ อีกทั้งยังเป็นแหล่งมั่วสุม ที่เจ้าพนักงานของรัฐ หน้าที่ตำรวจสอดส่องตรวจตราทำให้ อยู่ยาก และถูกบีบจากนายทุนไล่ซื้อ
ขณะการพัฒนาเมือง กทม.ต้องการเน้น ใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดความคุ้มค่า โดย เฉพาะรอบสถานีรถไฟฟ้า ต้องเกิดความหนาแน่นสูง เพื่อให้สอดคล้องราคาที่ดิน ที่ปัจจุบันย่านใจกลางเมืองราคา ไปที่กว่า3ล้านบาทต่อตารางวา และไม่มีทำเลไหนที่รถไฟฟ้าผ่าน จะต่ำกว่า 1ล้านบาทต่อตารางวาดังนั้นจึงเห็นตึกสูงสไตล์การพัฒนาแบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส เต็มเมือง
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่ายกตัวอย่าง ทำเลแยกปทุมวัน สยามสแควร์ สร้างสร้างตึกสูงอย่างไร้ข้อจำกัดเพราะเป็นเขตเศณษฐกิจศูนย์กลางเมือง ผังเมืองกำหนดเป็นพื้นที่สีแดง ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม สร้างได้ 10เท่าของแปลงที่ดิน ไม่มีข้อบัญญัติควบคุมอาคารของกทม.ควบคุมจำกัดความสูง เช่นเดียวกับสะพานควาย ผังเมืองฉบับปัจจุบันกำหนดเป็นพื้นที่สีแดง บางบริเวณ สร้างตึกขนาดใหญ่พิเศษได้ เช่นเดียวกับย่านชินเขตงามวงศ์วาน หากรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลก่อสร้าง ตัวสถานีจะอยู่บริเวณโรงหนังงานวงศ์วานรามา ที่นี่จะเป็นอีกทำเลที่น่าจับตา เพราะที่ดินแปลงค่อนข้างใหญ่ ไม่ต่ำกว่า10ไร่
อีกทำเลที่โรงหนังสแตนด์อโลนหายไป คือย่านพระโขนง 6โรงหนังดังในในอดีต ที่เคยรุ่งเรือง โดยเฉพาะพระโขนงเธียเตอร์ สามแยกพระโขนงและโรงหนังเอเซียรามาอยู่ด้านในซอยสุขุมวิท 71 ปัจจุบัน กลายเป็น เมืองขนาดย่อมของชาวญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม คอมมูนิตี้มอลล์ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ที่ขยายตัวออกมาจาก มินิโตเกียว ย่านทองหล่อ