บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2564 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,625.5 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12% โดยยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในไตรมาสสามนี้จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ ทั้งการระบาดระลอก 4 ของ COVID-19 ที่ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงกว่า 20,000 คนต่อวัน มีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง มีการออกมาตรการล็อคดาวน์ต่างๆ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ หยุดชะงัก และกระทบในวงกว้าง
อย่างไรก็ดี ลลิลฯ ยังคงบริหารธุรกิจได้ดี ผ่านช่วงเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยนัก ด้วยยอดรับรู้รายได้ที่เติบโต 12% และมีกำไรที่ขยายตัว 10.2% เมื่อพิจารณาผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรก มียอดรับรู้รายได้ทั้งสิ้น 4,828.1 ล้านบาท ขยายตัว 20.3% โดยมีตัวเลขกำไรสุทธิที่ 1,013.1 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากธุรกิจปกติ ขยายตัวได้ 22.6%
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวถึงผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยบริษัทยังคงมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัว 20.3% ในขณะที่กำไรสุทธิขยายตัวได้ 22.6% แม้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้จะมีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้ามากมาย เกิดการระบาดระลอกสาม ระลอกสี่ขึ้น โดยเฉพาะการระบาดระลอกที่สี่ของสายพันธุ์เดลต้า ที่นำไปสู่การติดเชื้อมากกว่า 20,000 คนต่อวัน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งประเทศเกือบ 2 ล้านคนในปัจจุบัน
สำหรับภาคธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกับภาคธุรกิจอื่นๆ กำลังซื้อของผู้บริโภคมีการหดตัวลง จากภาวะหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ดังนั้นผู้ประกอบการที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่า ก็จะสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้
สำหรับลลิลฯ มีการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่องให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยเน้นกลุ่ม Real Demand เป็นหลัก มีการปรับรูปแบบ Design และ Function ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา ตลอดจนเน้นการขาย Quality of Living คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของลูกค้าเป็นสำคัญ จึงเชื่อมั่นว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ในใจของผู้บริโภคเมื่อคิดจะซื้อที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้จากกลยุทธ์ที่วางไว้ และการบริหารงานที่รัดกุม ช่วยให้บริษัทยังคงมียอดขายและกำไรที่เติบโต ผลประกอบการสำหรับไตรมาสสามมียอดรับรู้รายได้ที่ 1,626.5 ล้านบาท เติบโตได้ 12% ในขณะที่ยอดรับรู้รายได้ใน 9 เดือนแรกของปี ขยายตัวกว่า 20.3% โดยรับรู้รายได้แล้วที่ 4,828.1 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 80% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งเอาไว้ จึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำผลงานได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้สำหรับปีนี้
ในส่วนของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี แม้ในภาวะที่ต้นทุนหลายอย่างปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่าน Ratio ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 39.2% คงที่จากปีก่อนหน้า ตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Revenues) ดีขึ้นจาก 9.7% มาอยู่ที่ 9.3% อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ดีขึ้นจาก 20.6% มาอยู่ที่ 21.0%
สำหรับการขยายธุรกิจในปีนี้ บริษัทสามารถทำได้ตามแผนที่ตั้งไว้ โดยมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่ารวมราว 6,000 ล้านบาท โดยยังคงมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างรัดกุม โดย ณ สิ้นไตรมาสามนี้ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.63 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลขอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ณ สิ้นไตรมาสสาม จะอยู่ที่ระดับเพียง 0.27 เท่า สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท และศักยภาพที่สามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง