PF ตัดขาย Kiroro Resort ธุรกิจสกี-โรงแรมในญี่ปุ่น4,358ล้านบาท

22 พ.ย. 2564 | 13:39 น.
อัปเดตล่าสุด :29 พ.ย. 2564 | 09:58 น.

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) ขายKiroro Resort ธุรกิจสกี และโรงแรมในประเทศญี่ปุ่น มูลค่า 4,358 ล้านบาท หวังกำกระแสเงินสด-เพิ่มสภาพคล่อง ทั้งหันมาลุยขยายโครงการร่วมทุนในประเทศ

วันนี้(วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564) นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทได้ขายทรัพย์สินของ Kiroro Resort Holding co.,ltd. (KRH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท โดยถือหุ้นทางตรงและทางอ้อม 99.70% ซึ่งปัจจุบันประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสกี และโรงแรมในประเทศญี่ปุ่น 

โดยจะขายให้กับ Godo Kaisha Kiroro Management(GKKM) และ Napier Tokutei Mokuteki Kaisha (Napier TMK) โดย GKKM เป็นบริษัท และ Napier TMK กองทรัสต์ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น

 

Kiroro Resort

 

ทั้งนี้ KRH ได้โอนขายธุรกิจสกีและโรงแรมในประเทศญี่ปุ่น ให้แก่ GKKM และ Napier TMK ในราคา 15,000 ล้านเยน หรือคิดเป็น 4,358 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 29.05 บาท) หลังจาก KRH ได้โอนขายธุรกิจสกีและโรงแรมในประเทศญี่ปุ่นแล้ว จะยังคงดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นต่อไป

นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำสัญญาการขาย คิโรโระ รีสอร์ท ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม 2 แห่ง รวม 422 ห้องพัก และลานสกี มูลค่ารวม 15,000 ล้านเยน ให้กับบริษัท GKKM และกองทุนทรัสต์ NAPIER TMK โดยกระบวนการจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน

 

คิโรโระ รีสอร์ท

“การขายธุรกิจโรงแรมครั้งนี้  เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัท เป็นการขายในระดับราคาที่ทำกำไร และหันมาโฟกัสกับการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริม ทรัพย์ที่เรามีความเชี่ยวชาญ บริษัทยังมีโครงการคอนโดมิเนียม “ยู คิโรโระ” ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรม สิทธิ์อีก 1,200 ล้านบาท โครงการสามารถตอบโจทย์ทั้งกลุ่มที่ต้องการบ้านพักตากอากาศและกลุ่มนักลงทุน จึงสร้างยอดขายได้ดีและใกล้ปิดการขายโครงการแล้ว ซึ่งลูกค้า “ยู คิโรโระ” ยังคงสามารถใช้บริการสกีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของส่วนโรงแรมได้เช่นเดิม”

 

นายศานิตเปิดเผยเพิ่มเติมว่า รายได้ที่เข้ามาจะนำมาชำระหนี้คืนให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทลดลง เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ นอกจากนี้ยังจะนำมาขยายการลงทุนในโครงการร่วมทุนภายในประเทศเพิ่มเติม กับ 3 พันธมิตรจากต่างประเทศ  ประกอบด้วย  ฮ่องกง แลนด์,  ซูมิโตโม ฟอเรสทรี และ    เซกิซุย เคมิคัล โดยในปีหน้า ได้วางเป้าขายจากโครงการภายใต้การร่วมทุนกับทั้ง 3 บริษัทไว้ที่ 3,000 ล้านบาท สำหรับเดือนธันวาคมนี้ จะมีการพรีเซลโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกง แลนด์ เป็นโครงการที่ 2 ได้แก่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” มูลค่าโครงการ 6,080 ล้านบาท ซึ่งแบรนด์ “เลค เลเจ้นด์” ประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวโครงการแรกบนทำเลแจ้งวัฒนะ โครงการนี้จึงเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่อย่างต่อเนื่อง

 

“เลค เลเจ้นด์” ทำเลบางนาสุวรรณภูมิ

 

ในเดือนธันวาคมนี้ บริษัทยังจะลงทุนเพิ่มเติมในโครงการทำเลเขาใหญ่ โดยเตรียมเปิดตัวโครงการ “เบลล่า เดล มอนเต้ เขาใหญ่” เฟส 2  หลังเฟสแรกมีกระแสตอบรับดีจากการเติบโตของตลาดบ้านพักตากอากาศเขาใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา โดยลูกค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่ต้องการบ้านที่ติดทะเลสาบ จากการตอบรับที่ดีดังกล่าว ทำให้บริษัทเร่งขยายเฟส 2 เพื่อเปิดตัวบ้านริมทะเลสาบแห่งใหม่ โดย “เบลล่า เดล มอนเต้ เขาใหญ่” มีมูลค่าโครงการรวม 3,000 ล้านบาท