"แอสเซทไวส์" คว้า 2 ดีลใหญ่ต้นปีมูลค่ารวมเฉียด 3 พันล้าน

10 ม.ค. 2565 | 13:24 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ม.ค. 2565 | 20:37 น.

“แอสเซทไวส์” ปิด 2 ดีลใหญ่ไทย-เทศ ประเดิมต้นปี ร่วมทุน “ทาคาระ เลเบ็น” บิ๊กอสังหาฯ ญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดใหม่ ‘แอทโมซ บางนา’ พร้อมเข้าซื้อกิจการ “แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน” คว้าคอนโดทำเลทองเข้าพอร์ต เสริมความแข็งแกร่ง ผงาดรับปีเสือ

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า บริษัทเปิดศักราชใหม่ปีเสือ ด้วยการทำข้อตกลงครั้งสำคัญพร้อมกัน 2 รายการ โดยได้เข้าร่วมทุนกับบริษัท ทาคาระเลเบ็น จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกัน 

 

นอกจากนี้ แอสเซทไวส์ ยังได้เข้าซื้อกิจการบริษัท แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน เจ้าของโครงการแม็กซี่ ไพร์ม รัชดา - สุทธิสาร นับเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้แอสเซทไวส์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อรับวัฏจักรเศรษฐกิจที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในปี 2565

“ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะเดินเกมรุกอย่างเต็มที่ โดยใช้กลยุทธ์การเพิ่มพันธมิตรระดับโลกเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ไปพร้อมกับการลดความเสี่ยงและเวลาในการพัฒนาโครงการเอง" นายกรมเชษฐ์ กล่าว

 

การขยายธุรกิจด้วยการเข้าซื้อกิจการในจังหวะเวลาที่เหมาะสม เป็นเหมือนการขึ้นทางด่วนนำพาบริษัทไปถึงเป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ได้เร็วขึ้น

สำหรับการร่วมทุนกับบริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด นั้น จะประเดิมโครงการแรกร่วมกัน มูลค่ากว่า 2,200 ล้านบาท เป็นโครงการบนทำเลใหม่ NEW CBD คือ โครงการ แอทโมซ บางนา ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ขนาดใหญ่บนทำเลศักยภาพย่านบางนาที่กำลังเติบโต ใกล้รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว และ MRT สายสีเหลือง  ติดถนนใหญ่เส้นบางนา-ตราด โดยบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 51% และ ทาคาระ เลเบ็น ถือหุ้นในสัดส่วน 49%

 

บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวมากว่า 500 โครงการ ทั้งยังประกอบธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้าและธุรกิจโรงแรมในญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปี   พ.ศ. 2515 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเมื่อปี พ.ศ. 2547 และจะดำเนินธุรกิจครบ 50 ปีในปีนี้ 

 

นายคาซูอิชิ ชิมาดะ (Kazuichi Shimada) CEO บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด กล่าวว่า บริษัทมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งในแต่ละประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโต โดยแอสเซทไวส์ เป็นบริษัทมหาชนที่มีความมั่นคงและอนาคตไกลในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย พิสูจน์ได้จากทั้งคุณภาพของโครงการ และความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ทั้งยังมีปรัชญาในการดำเนินธุรกิจตรงกัน คือ ยึดมั่นในการออกแบบความสุขเพื่อการอยู่อาศัย บริษัทจึงมั่นใจและตัดสินใจร่วมทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นครั้งแรก

 

ทั้งนี้ ทาคาระ เลเบ็น มองว่า การทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย เนื่องจากปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ตลอดจนโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ดังนั้นการร่วมทุนกับแอสเซทไวส์ เพื่อพัฒนาโครงการแอทโมซ บางนา ในครั้งนี้ จะถือเป็นการวางรากฐานของบริษัทในระยะยาว สู่การเติบโตที่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย

 

นอกเหนือจากการร่วมทุนครั้งสำคัญแล้ว แอสเซทไวส์ยังเข้าซื้อกิจการ บริษัท แม็กซี่ พรีเมียร์ วัน ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยหลังจากนี้จะได้รับโครงการ แม็กซี่ ไพร์ม รัชดา - สุทธิสาร (Maxxi Prime Ratchada-Sutthisan) ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลทองใจกลางรัชดา – สุทธิสาร เข้ามาอยู่ในพอร์ตด้วย โดยโครงการนี้ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี  สอดคล้องกับหลักการพัฒนาโครงการของแอสเซทไวส์ คือ เน้นสร้างความสุขในการอยู่อาศัย ผ่านทั้งตัวโครงการที่ดี การออกแบบห้องพักที่สวยงามลงตัว และการมอบความสุขด้วยส่วนกลาง (Facility) ที่มอบให้อย่างเต็มที่ เมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในระดับ Affordable ด้วยกัน

 

โครงการแม็กซี่ ไพร์ม รัชดา - สุทธิสารมีมูลค่า 570 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 1 อาคาร มีทั้งหมด 218 ยูนิต ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีสุทธิสาร ประมาณ 400 เมตรเท่านั้น ทำเลดี อยู่ในพื้นที่ชุมชน แหล่งงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งยังอยู่ใกล้กับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2565 เบื้องต้นการพัฒนาโครงการแล้วเสร็จไปกว่า 83% มีกำหนดจะเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปี 2565 ซึ่งหมายความว่าพร้อมโอนกรรมสิทธิ์เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ในเวลาอันรวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงและระยะเวลาในการพัฒนาโครงการ ทั้งยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะได้อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) สูงกว่าการพัฒนาโครงการเองจากที่ดินเปล่า

 

นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทฯ ปิดทั้ง 2 ดีลใหญ่ในช่วงต้นปี 2565 นี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่สำหรับก้าวใหม่ของบริษัทฯ และยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้รายได้และการเติบโตในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างแข็งแกร่งอีกด้วย