16 เมษายน 2565 - เริ่มต้นเปิดศักราชใหม่ปี 2565 ภาคอสังหาริมทรัพย์ เผชิญกับวิกฤติ และผลกระทบหลาย ๆ ด้าน ทั้งเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ผลกระทบจากวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลราคาน้ำมัน และต้นทุนวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้น ขณะกำลังซื้อผู้บริโภคน่าห่วง จึงนับเป็นความท้าทายไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม จากบทเรียน 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ความน่ากังวลข้างต้น เป็นเพียงปัจจัยลบเล็กๆ โดยบิ๊กเนมในอุตสาหกรรมยังคงเอาตัวรอดมาได้อย่างน่าสนใจ ผ่านยอดขาย 3 เดือนแรก ที่สวนทางวิกฤติ
3 ปัจจัย ดัน แสนสิริตุน 8 พันล.
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผย 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า แม้ไตรมาสแรกที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะเร่งตัวสูง น่ากังวลต่อภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่จากการที่เชื้อส่วนใหญ่เป็น 'โอมิครอน' ทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจ ยังมีภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวดีคอยสนุนสนับ ส่งผล ยอดการซื้อ-ขาย โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท เป็นไปตามเป้าหมาย 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.) ทำได้มากกว่า 8 พันล้านบาท
โดยเฉพาะ ดาวเด่นตลาดบ้านเดี่ยว กวาดยอดได้แล้ว 4 พันล้านบาท ขณะคอนโดฯพร้อมอยู่ สร้างยอดขายรวมราว 3 พันล้านบาท ที่เหลือ เป็นกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ สะท้อนความแข็งแกร่งของเรียลดีมานด์ หรือ การซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทั้งนี้ ประเมินมาจาก 3 ปัจจัย ที่เป็นตัวเร่ง Game Changer ให้กับธุรกิจ ได้แก่ 1. เรียลดีมานด์ 2.แนวโน้มราคาบ้านปรับขึ้นในอนาคต และ3. ดอกเบี้ยขาลงระยะสุดท้าย
"ยอดขายที่เติบโตตามเป้าหมายมาจาก เรียลดีมานด์ในตลาดบ้านเดี่ยว หลังผู้คนยังมีความต้องการ และมองโอมิครอนไม่มีผลกระทบ ขณะลูกค้ามองตอนนี้เป็นจังหวะการซื้อที่ดี จากต้นทุนโครงการเก่า เพราะเริ่มกังวลถึงผลพ่วงสงครามรัสเซีย - ยูเครน และความต้องการทั่วโลกฟื้นตัว อาจทำให้ช่วงอีก 2-3ไตรมาสข้างหน้า ราคาบ้าน-คอนโดฯปรับขึ้นสูง คนมีเงินจึงรีบนำเงินออกมาซื้อ และ ดอกเบี้ยขาลง ระยะสุดท้าย เป็นตัวเร่งการตัดสินใจที่สำคัญ เพราะบางธนาคารยังมีมาตรการตรึงดอกเบี้ย 0% 3 ปี ก่อนคาดจะเปลี่ยนแปลงในอนาคต"
แนวราบพีค เอพี - เฟรเซอร์สฯ- sc พุ่งแรง
สอดคล้อง ยอดขายของอีก 2 บริษัทใหญ่ ในตลาดบ้านทั้งใน กทม. และ ภูมิภาค โดยบมจ.เอพี เหยียบคันเร่งไตรมาสแรก ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นมาถึง 63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ 12,960 ล้านบาท เจาะรายละเอียด พบโครงการกลุ่มแนวราบ ทำยอดขาย 3 เดือนแรกของปี ได้แล้ว 10,800 ล้านบาท เติบโต 48% ขณะยอดขายคอนโดฯ ทั้งโครงการเก่าและใหม่ บวกขึ้นมา 220% ที่ 2,160 ล้านบาท ทั้งนี้ ปี 2565 เอพี ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมที่ 5 หมื่นล้านบาท ผ่านแผนประกาศเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดในอุตสาหกรรม ที่ 65 โครงการ มูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีการปูพรมเปิดโครงการแนวราบเป็นจำนวนมาก ผ่านแบรนด์ดัง ทั้ง บ้านกลางเมือง , แกรนด์ พลีโน่ , พลีโน่ , พลีโน่ ทาวน์ และ CENTRO เพื่อเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์เบอร์ 1 ตลาดบ้านเดี่ยว
ส่วนบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (FPH ) กลุ่มอสังหาฯเจ้าสัวเจริญ ซึ่งปีนี้ประกาศกลับมาเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการ มูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มสัดส่วนโครงการบ้านเดี่ยวและขยายเซกเมนต์ City Home ใจกลางเมือง รวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขายทั่วประเทศอีก 62 โครงการนั้น แจ้งว่า ขณะบริษัทมียอดขาย ที่เกิดขึ้นแล้วในช่วง เดือน ม.ค. - มี.ค. ที่ 5,894 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้า นาย แสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุ ปี 2565 บริษัท จะไม่โฟกัสยอดขาย เพราะไม่สามารถประมาณการรายได้ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ การเร่งพัฒนาโครงการบ้านที่มีประสิทธิภาพ ในทำเลที่มีศักยภาพสูง เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า เป็นต้น
ขณะ นายมงกุฎ เตโชฬาร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บมจ. เอสซี แอสเสท เผยก่อนหน้าว่า ภาพรวมของตลาดแนวราบยังมีดีมานด์และเติบโตต่อเนื่อง โดยที่ไตรมาสแรกของปี 2565 บ้านทุกราคาของบริษัทขายดี โดยพอร์ตหลัก บ้าน 10-20 ล้านบาทของบริษัทเติบโตขึ้นถึง 55% (yoy) ส่งผลให้กวาดยอดขายแนวราบทะลุเป้า 4,740 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 2 จะเปิดใหม่อีก 9 โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ 'บางกอก บูเลอวาร์ด' ทุกมุมเมืองของกทม.
ขาใหญ่ลุ้นยอดขายตามเป้า
ด้านนายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท ยืนยันว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯปี 2565 ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะเทศกาลสงกรานต์หยุดยาว จะเป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักขึ้น จากเงินสะพัดเข้าสู่ระบบ ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัย ส่วนยอดขายไตรมาสแรก ขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปผล โดยจะรวมผลดำเนินงานในยอดโอนกรรมสิทธิ์ด้วย หลังจาก บริษัทได้เปิดตัวแนวราบใหม่ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมยอดขายในตลาดดังกล่าว ทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน ส่วนคอนโดฯลดลง 30% ปัจจัยหลักยังมาจากลูกค้าต่างชาติ -นักลงทุน ยังไม่กลับมา อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ยอดขายทั้งปี 2565 จะเป็นไปตามเป้าหมาย 3.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทปรับกลยุทธ์ กระจายสินค้า กลุ่มตลาดกลาง-บนมากขึ้น
เช่นเดียวกับ บมจ.ศุภาลัย เผยกับสื่อว่า ภาพรวมไตรมาสแรก แง่ยอดขายยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ (อยู่ระหว่างสรุป) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 6 โครงการ มูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ทั้งโครงการคอนโดฯ และโครงการบ้านในต่างจังหวัด พร้อมเชื่อว่าทั้งปี 2565 บริษัทจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 2.8 หมื่นล้านบาท หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีในกลุ่มคอนโดฯ ตั้งแต่ไตรมาสแรก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพร้อมอยู่ (Ready to Move) มีจำนวนผู้เข้าชมโครงการ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดเป็นการเริ่มเกมที่ดีของปีนี้
คอนโดฯคึก ORI-ASW โกยลูกค้าใหม่
เจาะ ความเคลื่อนไหวในตลาดคอนโดฯ พบ บมจ.ออริจิ้น (ORI) ประกาศ กวาดยอดขายรวมเฉียด 8,000 ล้านบาท ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยระบุ ว่า เป็นการเติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยยอดขายดังกล่าว มาจากคอนโดฯ 70% และยอดขายโครงการบ้านจัดสรร (บริทาเนีย) ประมาณ 30% แบ่งสัดส่วนโครงการใหม่ กับ โครงการพร้อมอยู่ ที่ 50 : 50 อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จที่มีนัยะ มาจากโครงการ New Launch ซึ่งเปิดตัวเพียงไม่กี่เดือนในหลายโครงการ แต่ยังทำยอดขายเฉลี่ยสะสม อยู่ที่ประมาณ 50% ของยูนิตที่เปิดขาย เช่น โครงการบริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน คอนโดฯใกล้มหาวิทยาลัยบูรพา เจาะตลาดนักศึกษา ที่สามารถ Sold Out ได้ภายในระยะเวลาไม่นาน เช่นเดียวกับโครงการโซ ออริจิ้น เกษตร อินเตอร์เชนจ์ ใกล้ม.เกษตรศาสตร์ ทำยอดขายไปกว่า 70% ตั้งเต่เดือนเรก สะท้อนความสำเร็จการเจาะลูกค้าใหม่ Gen Y ไปจนถึง Gen Z
ทั้งนี้ อีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญ บมจ.แอสเซทไวส์ (AWS) เผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จ ในการสร้างยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2565 อยู่ที่ 3,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% และคิดเป็น 33% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 1 หมื่นล้านบาท หลังจากปรับกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหลายมิติ โดยเฉพาะด้านไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อยุคใหม่ ทำให้มียอดขายจากกลุ่มคอนโดฯถึง 96% ทั้งโครงการพร้อมอยู่ และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขาย หรือ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ขณะปีนี้ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,400 ล้านบาท