26 เมษายน 2565 - “DEMI” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่ ที่แฟนคลับของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เฝ้ารอ หลังจากเผยว่าจะเป็นแบรนด์ไฮไลท์ สำหรับเจาะตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีของบริษัทในปี 2565
โครงการที่อยู่อาศัยลักชัวรี ราคามากกว่า 10 ล้าน ดีมานด์แรงไม่ผ่อน
ล่าสุด นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยลักซ์ชัวรี่แนวราบไทย ว่า ยังคงส่งสัญญาณบวกและแข็งแกร่ง อุปทานในกลุ่มนี้ยังมีไม่มากนัก ขณะที่อุปสงค์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังสูง โดยมีจำนวนหน่วยขายได้ไปทั้งสิ้นถึง 14,766 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายถึง 72% ในปีที่ผ่านมา โดยบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10 – 20 ล้านบาท มีดีมานต์มากที่สุด รองลงมาคือ 21 – 30 ล้านบาท และ 31 – 40 ล้านบาท ตามลำดับ
"โอกาสของตลาดลักชัวรียังมีอีกมาก เพราะลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ แต่ต้องหาโลเคชั่น และทำฟังก์ชั่นให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จเร็ว ทำธุรกิจส่วนตัว มองหาที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ ขณะบ้านแนวราบราคาระดับ 20 ล้านบาท ประเมินผ่อนต่อเดือน 150,000 - 200,000 บาท ซึ่งไม่สูงมากสำหรับพวกเขา จากรายได้ที่สร้างได้ต่อเดือน บางรายราว 600,000 - 700,000 บาท "
แสนสิริปั้นแบรนด์ใหม่ “DEMI”
ทั้งนี้ จากการที่แสนสิริ เห็นโอกาสที่เติบโตของตลาดลักซ์ชัวรี่แนวราบที่มีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ Young Successor ดังกล่าว โดยเน้นตัดสินซื้อบ้านเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต จึงพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้น ภายใต้ชื่อ “DEMI” เพื่อรับช่องว่างทางการตลาด ตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่ม Young Successor ที่มองหาที่อยู่อาศัยในเมืองเดินทางสะดวกไม่ไกลจาก CBD เพราะยังคุ้นชินกับการชีวิตในเมือง แต่ก็ไม่ได้อยากอยู่คอนโด มองหา space ที่มากขึ้น
"แสนสิริมีบ้านเดี่ยว เศรษฐสิริ และ บุราสิริ ระดับราคา 12-25 ล้านบาท ขณะแบรนด์ เดมี “DEMI” เป็นช่องว่างทางการตลาดสำหรับที่อยู่อาศัย Luxury Residence เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่ม Young Successor ที่มองหาที่อยู่อาศัยในเมืองเดินทางสะดวกไม่ไกลจาก CBD เพราะยังคุ้นชินกับการชีวิตในเมือง แต่ก็ไม่ได้อยากอยู่คอนโด มองหา space ที่มากขึ้น "
นายอาณัติ กล่าวว่า การพัฒนาโครงการ DEMI ไม่จำกัดว่าจะเป็นโครงการทาวน์โฮมหรือบ้านเดี่ยว โดยจะต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ Private Community เน้นความเป็นส่วนตัวสูง จำกัดจำนวนยูนิตไม่เกิน 100 หลังในแต่ละโครงการ บนที่ดินและทำเลที่เป็น Rare item ดีไซน์และฟังก์ชันโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่ง Customize ให้เหมาะกับในแต่ละทำเลและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า เจาะกลุ่ม Young Successor ที่ใช้ชีวิต แบบคนเมือง (Urban Lifestyle) และประสบความสำเร็จเร็ว เปิดขายในระดับราคา 15 – 28 ล้านบาท
โครงการ DEMI SATHU 49 (เดมี สาธุ 49) มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เปิดขาย 1 ก.ค. นี้
สำหรับ โครงการ DEMI SATHU 49 (เดมี สาธุ 49)” มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เป็นลักซ์ชัวรี่ เรสซิเดนท์แนวคิดใหม่ ในรูปแบบดีลักซ์ ทาวน์โฮม ท่ามกลาง Exclusive Community เพียงจำนวน 72 ยูนิต ระดับราคา 18.9 - 35 ล้านบาท เปิดชมโครงการครั้งแรก 1 พฤษภาคมนี้ ประกอบด้วย 2 แบบบ้าน (เปิดพรีเซล 1 ก.ค.)
โครงการตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อสู่ สุขุมวิท สาทร สีลม ใกล้ทางขึ้นลงทางด่วน ถึง 5 จุด ทั้งทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร และทางด่วนศรีรัช ที่เชื่อมสู่กรุงเทพฯ โซนตะวันตกและตะวันออก สะดวกสบายใกล้โรงเรียนชั้นนำ อาทิ โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจ กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ โรงเรียนนานาชาติเรนทรี โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ และโรงเรียนนานาชาติสาทรใหม่ รวมถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และสวนป่าเบญจกิตติ เดมี สาธุ 49 นับว่าตั้งอยู่บนที่ดิน Rare Item
ราคาที่ดินทำเลสาธุประดิษฐ์ เติบโต 57%ในรอบ 4 ปี
ทั้งนี้ การหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบทำได้ยาก เนื่องจากอยู่ในทำเลใกล้เมือง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และยังเป็นทำเลที่ราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตสูง จากราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ฉบับล่าสุด ราคาประเมินที่ดินสูงที่สุดในกรุงเทพฯ คือ ถนนสีลม อยู่ที่ 700,000 – 1,000,000 บาท/ตารางวา อัตราเติบโตเฉลี่ย ในช่วง 4 ปี อยู่ที่ 22% และราคาประเมินที่ดินทำเลถนนสาทร อยู่ที่ 600,000 บาท/ตารางวา อัตราเติบโตเฉลี่ยในช่วง 4 ปี อยู่ที่ 26%
ขณะที่ราคาที่ดินในทำเล สาธุฯ – พระราม 3 นั้น มีอัตราการเติบโตพุ่งสูงกว่าราคาที่ดินในโซน CBD โดยอยู่ระหว่าง 37 – 57% ในช่วง 4 ปี และ ราคาที่ดินทำเลถนน สาธุประดิษฐ์ ล่าสุด อยู่ที่ 250,000 บาท ต่อตารางวา เพิ่มขึ้นถึง 57% ในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้นถึง 284% ในเวลา 12 ปี
แสนสริตั้งเป้าผู้นำตลาดลักชัวรี ทำยอดขายแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปี 2564 บมจ.แสนสิริ สามารถทำยอดขายในกลุ่มโครงการลักชัวรี (ราคามากกว่า10ล้านบาท) อยู่ที่ 11,000 ล้านบาท และสร้างยอดรับรู้ได้ราว 9,000 ล้านบาท ขณะ ณ ไตรมาสแรก ปี 2565 สร้างยอดขายแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท และตามแผนเตรียมเปิดโครงการในกลุ่มดังกล่าวอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้แสนสิริ ขึ้นเป็นเบอร์ต้นในตลาดดังกล่าว ขณะโครงการ “DEMI Sathu49” จำนวน 72 ยูนิต ตั้งเป้าปิดการขายภายในปี 2565 โดย 16 ยูนิตเฟสแรก จะก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้