28 เมษายน 2565 - นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2565 มีรายได้จากการขาย 152,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน จากยอดขายที่สูงขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสำหรับงวด 8,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของธุรกิจอื่น (ธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ สาเหตุหลักจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด และกำไรสำหรับงวดลดลงร้อยละ 41 สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ประกอบกับในช่วงต้นปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ดีกว่าปกติ สาเหตุจากวิกฤตฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด
ในไตรมาส 1 ปี 2565 เอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 51,388 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution คิดเป็นร้อยละ 17 และ 5 ของรายได้จากการขายรวมนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ทั้งสิ้น 66,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44 ของรายได้จากการขายรวม
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีมูลค่า 889,540 ล้านบาท โดยร้อยละ 45 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2565 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
(เอสซีจีซี) มีรายได้จากการขาย 69,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,588 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และในช่วงต้นปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ดีกว่าปกติ สาเหตุจากวิกฤตฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด
มีรายได้จากการขาย 50,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการสินค้าในภูมิภาคและสินค้ากลุ่มกระเบื้องเซรามิกเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 จากไตรมาสก่อน ในขณะที่ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
มีรายได้จากการขาย 36,634 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรวมยอดขายของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab และการเติบโตของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Business) ในกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค การส่งออกอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยง อีกทั้งปริมาณความต้องการและราคาของเยื่อกระดาษที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,658 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อน จากรายการปรับปรุงประมาณการเงินค่าหุ้นที่คาดว่าจะต้องจ่าย (Earn-Out) ที่ทำให้กำไรสำหรับงวดสูงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 และลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนด้านวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “เอสซีจี ยังคงแข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศ แม้ต้องเผชิญภาวะต้นทุนสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งบริษัทรับมือกับสภาวะดังกล่าว โดย เร่ง 4 กลยุทธ์ รุกไว ลุยตลาดโลก ได้แก่