28 เมษายน 2566 - สิงคโปร์ นับเป็นเมืองอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นที่หมายตาของกลุ่มนักลงทุนชั้นชนกลาง บางส่วนทะลักออกมา จากจีน และ ฮ่องกง จากความวุ่นวายของบ้านเมืองและกฎหมายก่อนหน้านี้ ทำให้ สิงคโปร์กลายเป็นเมืองเนื้อหอม ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้นจากความต้องการของคนในประเทศและชาวต่างชาติ ในขณะที่ซัพพลายน้อย เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด ก่อนในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลกลับมาออกมาตรการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (Cooling Measure) อีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่แตก
ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง รายงานตรงกันว่า สิงคโปร์เข้มงวดกับการซื้ออสังหาฯของชาวต่างชาติมากขึ้น โดย กำหนดภาษีซื้อของชาวต่างชาติใหม่ จากเดิม 30% เป็น 60% แล้ว และมีผลเริ่มในวันที่ 27 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา
การจัดเก็บภาษี ซื้อที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ (บังคับใช้ 27 เมษายน 2566)
ชาวสิงคโปร์
ก่อน: 0%
หลัง: 0%
ก่อน: 17%
หลัง: 20%
ก่อน:25%
หลัง: 30%
ชาวต่างชาติที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์
ก่อน: 5%
หลัง: 5%
ก่อน: 25%
หลัง: 30%
ก่อน: 30%
หลัง: 35%
ชาวต่างประเทศ (ทุกหน่วยที่อยู่อาศัย)
ก่อน : 30%
หลัง : 60%
บริษัทต่างชาติ (ทุกหน่วยที่อยู่อาศัย)
ก่อน : 35%
หลัง : 65%
กองทุน Trustees (ทุกหน่วยที่อยู่อาศัย)
ก่อน : 35%
หลัง : 65%
บริษัทพัฒนาที่ดินสิงคโปร์ (ทุกหน่วยที่อยู่อาศัย
ก่อน : 35%
หลัง : 35%
เจาะในมุมมองของ ของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) มองว่า การที่ สิงคโปร์กำหนดภาษีซื้อบ้านของชาวต่างชาติใหม่ จากเดิม 30% เป็น 60% ล่าสุด เพื่อป้องกันการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ ป้องกันการผูกขาดโดยชาวต่างชาติ และพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนชาวสิงคโปร์
ยิ่งในกรณีของบริษัทต่างชาติ ที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดา ภาษีที่ต้องเสียตอนซื้อคือ 65% รวมทั้งกองทุน Trustee ด้วย ก็ต้องเสียภาษีจาก 35% เป็น 65% เช่นกัน การเสียภาษีสูงเช่นนี้ ก็เท่ากับคนต่างชาติที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ ต้องนำเงินไปให้รัฐบาลสิงคโปร์ใช้พัฒนาประเทศโดยตรง เทียบกับประเทศไทย พบมีการเก็บภาษีซื้อต่ำมาก แถมเก็บจากราคาประเมินของทางราชการซึ่งอาจเป็นเพียง 10%-60% ของราคาตลาดเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นในแต่ละปี ไทยก็แทบไม่เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ต้องราคา 50 ล้านบาทตามราคาประเมินราชการจึงจะเก็บ) หรือแทบไม่เก็บภาษีกำไรจากการขายต่อ (Capital Gain Tax) ซึ่งเก็บตามราคาประเมินราชการที่ต่ำมาก ยิ่งกว่านั้นไทยยังแทบไม่เก็บภาษีมรดก (เก็บเฉพาะกองมรดกที่มีมูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไปตามราคาประเมินราชการ) การไม่มีมาตรการภาษีที่ดี ทำให้การขายบ้านให้กับต่างชาติ ไทยแทบไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักถาวรในสิงคโปร์ก็ไม่ต้องเสียภาษีเท่าคนต่างชาติที่ตรงมาซื้อบ้านในสิงคโปร์เลย โดยชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักถาวรในสิงคโปร์ เสียภาษีเพียง 5% สำหรับบ้านหลังแรก ส่วนบ้านหลังที่ 2 และ 3 ขึ้นไปก็ต้องเสียภาษีหนัก เช่นเดียวกับชาวสิงคโปร์เอง ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีซื้อในกรณีบ้านหลังแรก แต่ในกรณีบ้านหลังที่ 2 และ 3 ขึ้นไป ก็ต้องเสียภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
นี่แสดงว่ารัฐบาลสิงคโปร์ไม่ส่งเสริมการเก็งกำไร ผิดกับทางราชการไทยที่ไม่มีมาตรการป้องกันการเก็งกำไรเท่าที่ควร ไม่ต่างจากการสนับสนุนผู้ประกอบการพัฒนาที่ดิน ให้พัฒนาโครงการมากเกินความต้องการ