วันนี้ (วันที่ 27 พ.ค.66) นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าฯกทม. เปิดเผยว่า มีเรื่องที่จะฝากรัฐบาลใหม่ทบทวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เดิมการเก็บภาษีโรงเรือนจะคิดจากรายได้ 12.5% เพื่อนำมาเป็นรายได้ของเขต
แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรูปแบบภาษีใหม่เป็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยคิดตามมูลค่าที่ดิน ทำให้กทม.มีรายได้ลดลง
ยกตัวอย่างเขตพญาไท ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษี สามารถจัดเก็บได้ประมาณ 300 ล้านบาท เมื่อเปลี่ยนรูปแบบภาษี ทำให้รายได้ลดลงเหลือประมาณ 200 ล้านบาท
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะคาดว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้ที่มีรายได้มากจะต้องเสียภาษีมาก แต่กลับพบว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น
ทั้งนี้ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่พญาไท เดิมเสียภาษี 10 ล้านบาท แต่เมื่อเก็บภาษีรูปแบบใหม่ เสียภาษีเพียง 1 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาษีลดลงถึง 10 เท่า
หรือกรณีอาคารสำนักงานใหญ่แห่งหนึ่ง เดิมเสียภาษีกว่า 11 ล้านบาท เพราะคำนวณจากค่าเช่าภายในสำนักงาน แต่เมื่อคิดภาษีรูปแบบใหม่ เหลือเพียง 3 ล้านบาท เพราะคิดตามมูลค่าที่ดิน และยิ่งเป็นอาคารเก่ามีค่าเสื่อมเยอะ ทำให้มูลค่าลดลงอีก
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า ส่วนห้องเช่าซึ่งเป็นอาคาร เดิมเก็บได้ 4 ล้านกว่าบาท ภาษีใหม่เก็บได้เพียง 7 หมื่นกว่าบาท เพราะเจ้าของได้ย้ายชื่อมาอยู่ในห้องเช่า ทำให้กลายเป็นที่อยู่อาศัย และจะเสียภาษีในอีกอัตราหนึ่ง
เรื่องนี้ต้องฝากไปถึงรัฐบาลใหม่และรัฐสภาชุดใหม่ เพื่อให้สรุปและทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้น และสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง
รวมทั้งพิจารณาเงินในส่วนที่ยังค้างกทม.อยู่ เนื่องจากนโยบายการลดภาษี หากคืนเงินมาได้ ท้องถิ่นจะมีเงินสามารถนำไปบริหารตามหลักกระจายอำนาจได้มากขึ้น