การร่วมทุน (JV) ของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย กับ กลุ่มทุนข้ามชาติ ได้รับความนิยมมานาน ที่โดดเด่น จะเป็นกลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงและ ชำนาญการพัฒนาที่อยู่อาศัย หนึ่งในนั้นคือ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) อสังหาฯระดับโลก จากประเทศญี่ปปุ่น ผู้ควํ่าหวอดในวงการมา 50 ปี JV กับยักษ์ใหญ่แห่งวงการอสังหาฯ ไทย บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
ที่นายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “มิตซูบิชิ เอสเตท” สะท้อนว่าทั้งสองบริษัทมีความลึกซึ้งเกินกว่าการร่วมทุนทางธุรกิจนั่นคือความไว้เนื้อเชื่อใจ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด โมเดลร่วมทุนสัดส่วน 51:49ส่งผลให้ ทำงานร่วมกันแน่นแฟ้นมาถึง10ปีนับตั้งแต่ปี2557
การร่วมทุนดังกล่าว ถือเป็นรูปแบบการร่วมทุนรายแรกและรายเดียวในไทยจากผลงาน 24 โครงการคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าทั้งเปิดให้บริการปัจจุบันและรถไฟฟ้าสายใหม่ 23,500 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท ตอบโจทย์ ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจที่ดี ซึ่งแตกต่างจาก JV อื่นที่ ที่จบงานเป็นรายโครงการไป และแน่นอนว่าจะมีโครงการที่พัฒนาร่วมกันอีกหลายโครงการ เพราะมองว่า กรุงเทพ มหานครยังน่าสนใจมีคนต่างจังหวัดหมุนเวียนเข้าหาแหล่งงานและเกิดความต้องการที่อยู่อาศัย รวมถึงตลาดผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ยังค้นพบตลาดเมืองไทยกับตลาดญี่ปุ่นที่มีจุดร่วมกันหลายอย่าง ขณะเดียวกันศึกษาความต่างโดยเฉพาะความต้องการของลูกค้า โดยนำสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ทั้งหมดมาวางบนโต๊ะทำให้การทำงานร่วมกันประสบความสำเร็จ ยิ่งๆขึ้น เดิมทีอาจมีปัญหาเพราะ ความไม่เข้าใจของฝ่ายญี่ปุ่น จนฝ่ายไทยมองว่ามีความจุกจิกเกินไปแต่ในที่สุดแล้วก็ทำความเข้าใจกันได้ด้วยดี
สิ่งหนึ่งที่ประทับใจจากการร่วมทุนกับเอพี ไทยแลนด์คือตัดสินใจเร็วดำเนินการเร็ว รวมถึงได้เรียนรู้การนำระบบออนไลน์ดูแลลูกค้า และนำไปใช้ในบ้าน รวมถึง การพัฒนาแบบแปลนการออกแบบหลังสถานการณ์โควิด-19 สิ่งที่ ทางมิตซูบิชิเอสเตท ได้เรียนรู้จากเอพี ไทยแลนด์ และทำให้ต้องการร่วมงานกันต่อไป คือ การบอกรายละเอียดข้อเท็จจริงของขั้นตอน กระบวนการเกี่ยวกับการทำโครงการของไทยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกันไม่มีที่สิ้นสุด และสิ่งที่ดำเนินการร่วมกัน ล่าสุดปิดการขายไปแล้ว 13 โครงการ คงเหลือที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการขาย 11 โครงการ มูลค่ารวม 55,650 ล้านบาท
ในจำนวนนี้เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมขายคิดเป็นมูลค่า 20,375 ล้านบาท โดยที่จะมีโครงการ ดิแอดเดรส สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,600 ล้านบาท ซึ่งมียอดขาย 40% และจะก่อสร้างแล้วเสร็จเตรียมโอนกรรมสิทธิพร้อมเปิดให้ชมห้องจริงในวันที่ 26-27 สิงหาคมนี้ และ ริทึ่ม (RHYTHM )เจริญนคร ไอคอนิค แฟล็กชิป โครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุดมูลค่า 4,500 ล้านบาท ต้นแบบชูเปอร์คอนโดมิเนียม ที่เตรียมเปิดตัวเดือนพฤศจิกายนนี้
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) มองว่า ที่ผ่านมาใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจ การทำอะไร ตรงไปตรงมา เปิดเผย ไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสิ่งที่นำพาธุรกิจก้าวไปข้างหน้า ยกตัวอย่าง แม้แต่การซื้อที่ดินมาในราคาเท่าใดจะโอนเข้าบริษัทราคาเท่านั้น ไม่มีบวกเพิ่มหากำไร รวมถึงการเปิดเผยระบบบัญชีที่ให้ต่างฝ่ายต่างตรวจสอบได้ ทางมิตซูเอสเตท ส่งทีมงานคลุกคลีทั้งในบริษัทและในพื้นที่ มีการถ่ายทอดงานให้ทั้งหมดเท่าที่มีความรู้ความสามารถ
เมื่อถามว่าการ JV ถือว่า ประสบความสำเร็จหรือไม่นายอนุพงษ์ ตอบว่า การทำงานไม่สามารถบอกได้ ว่าคือความสำเร็จ แต่ต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มีปัญหาต้องแก้ไข จุดไหนมีปัญหาแก้ที่นั่นพบปัญหาอุปสรรคลงมือแก้ทันที ที่สำคัญการทำงานต้องเน้นที่ถนัดเท่านั้น
“ทศวรรษที่ 2” หรือ 10 ปี ต่อไป นายอนุพงษ์ประเมินว่าการพัฒนาโครงการขึ้นอยู่กับที่ดิน ที่ มิตซูบิชิ เอสเตท สนใจ และพร้อมขยายแต่การหาที่ดินอยู่ที่เอพี ไทยแลนด์ จัดหาได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งยอมรับว่าที่ดินยากกว่า 10 ปี แรกค่อนข้างมาก ขณะเศรษฐกิจมองว่ายังไม่ดีเท่าที่ควรเช่นกัน
การดำเนินธุรกิจต่อจากนี้จะอยู่ภายใต้แผนโรดแมป “FROM STRENGTH TO STRENGTH”หรือ “แข็งแกร่งก้าวไปต่อ” สู่การเติบโตที่ไม่สิ้นสุดโดย ชูความจริงใจ คีย์ซักเซสดันดีลธุรกิจยั่งยืนมากกว่าเรื่องของผลตอบแทน คือแนวทางการทำธุรกิจที่เชื่อใจกันและกันในทุกมิติสำหรับ เอพีไทยแลนด์ และมิตซูบิชิเอสเตท เพื่อขับเคลื่อนการร่วมทุนที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น หลังจากตลอด 10 ปี ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุนตามแนวรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ และมองหาที่ดินรองรับการเปิดตัวคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่องในอนาคต
“การทำอะไร ตรงไปตรงมา เปิดเผย ไม่มีอะไรปิดบัง” คือ สูตรสำเร็จความไว้เนื้อเชื่อใจที่นายอนุพงษ์ บอกเล่าเรื่องราวถึงที่มาที่ไปของ การทำธุรกิจร่วมทุน และจะก้าวไปสู่ ทศวรรษที่2 กับ มิตชูบิชิ เอสเตท อย่างเหนียวแน่นมั่นคงต่อไป!!!