ปั้นทุน1ล้าน สู่ อาณาจักรแสนล้าน"เศรษฐา " นายกคนที่ 30 ลุยแก้เศรษฐกิจปากท้อง

23 ส.ค. 2566 | 02:32 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ส.ค. 2566 | 03:24 น.

ปรากฎการณ์สะกดโลก “เศรษฐา ทวีสิน”จากซีอีโอ แสนสิริแสนล้าน สู่เส้นทางการเมือง นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ควบขุนคลัง เดินหน้าประเดิมแก้ปากท้อง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปูพรมโครงสร้างพื้นฐาน “ทักษิณ”กลับแผ่นดินแม่ น้อมรับคำพิพากษา

 

ปรากฏการณ์สะกดโลกและคนไทยทั้งประเทศวันที่22สิงหาคม 2566 กับเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 นักโทษหนีคดี เดินทางถึงไทย พร้อมน้อมรับคำพิพากษาศาลฎีกาเดินเข้าเรือนจำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับเส้นทางของนายเศรษา ทวีสิน แคนดิเดต นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ได้รับเสียงโหวตด้วยคะแนนท่วมท้นให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่30 ของประเทศ

 

 

 

ท่ามกลาง มรสุมร้อนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ คู่กรณีขุดปมซื้อที่ดินทำเลกลางใจเมือง สารสิน ทองหล่อ สุขุมวิท 12 กล่าวหา ทำนิติกรรมอำพราง นอมินี เลี่ยงภาษีเป็นเหตุให้รัฐสูญเสียรายได้ เมื่อครั้งที่นายเศรษฐา ดำรงตำแหน่ง ซีอีโอ อาณาจักรแสนล้านแสนสิริ ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือSIRI และนายเศรษฐาได้ ตอบโต้ นายชูวิทย์ไม่ใช่ศัตรู แต่ศัตรูตัวจริงของเขาคือ “ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชน”

ทุ่มงบลุยแก้ปากท้อง

ทันทีที่นายเศรษฐา ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี การดำเนินงานเร่งด่วนของรัฐบาล ตามที่พรรคเพื่อไทยชูไว้ในการหาเสียง จะป็นเรื่องของเศรษฐกิจปากท้องเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน หลังประเมินว่าเศรษฐกิจ ตกหลุมดำมานาน สิ่งที่ใช้กระชากเศรษฐกิจให้ฟื้นกลับมา ใน 6 เดือน คือการใส่เงินลงกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ใช้เม็ดเงิน 560,000 ล้านบาทจาก 25 นโยบายพรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศวงเงิน 1.81 ล้านล้านบาท

ล้วนประกอบด้วยนโยบายสำคัญเรื่องปากท้อง อย่างการเพิ่มค่าแรงขั้นตํ่า 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570 เงินเดือนปริญญาตรีเดือนละ 25,000 บาท แก้หนี้สินให้กับประชาชน ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนปรับสูง 90% พักหนี้เกษตรกร 3 ปี สวัสดิการผู้สูงอายุ การจูงใจประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งมวลชน สาธารณะ ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ฯลฯ

เส้นทางนายกฯคนที่ 30

 นายเศรษฐา เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2554 ทำหน้าที่ เป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ เนื่องจากมีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาอย่างโซกโซน จึงสามารถช่วยผลักดันแนวทางช่วยเหลืออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ให้กับเพื่อนร่วมวงการ จากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ต่างๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมอสังหาฯมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องตั้งต้นนํ้ากลางนํ้าและปลายนํ้าตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ผ่านมานายเศรษฐา ช่วยงานของพรรคเพื่อไทยเสมอมา ด้วยตำแหน่งประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง บุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นประธานคณะที่ปรึกษา ฯ

นโยบายสำคัญพรรคเพื่อไทย

การประกาศลงถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว ของนายเศรษฐา วันที่ 3 เมษายน 2566 ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ ของแสนสิริ และโอนหุ้นทั้งหมดให้กับบุตรสาว มาอยู่กับพรรคเพื่อไทยในฐานะแคนดิแดตนายกรัฐมนตรี คนที่สอง ที่ต้องการอาสาเข้ามาแก้เกมเศรษฐกิจประเทศที่ “ผุ-กร่อน” หลังถูกทำรัฐประหารบ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจรัฐบาลทหาร พร้อมประกาศต่อสู้กับความยากจน เหลื่อมลํ้า ทำให้คนไทยอยู่ด้วยกัน ทุกเจเนอเรชันได้ อย่างมีความสุข นี่คือสิ่งที่นายเศรษฐา แข่งขันมากกว่า การต่อสู้แย่งชิง ทางการเมืองกับพรรคอื่นๆ

จากทุน1ล้าน สู่อาณาจักรแสนล้าน

ย้อนไปก่อนจะเดินเข้าสู่เส้นทางการเมือง นายเศรษฐา เป็นซีอีโอ อาณาจักรแสนสิริ บริษัทอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย ที่ได้รับความนิยมขยายฐานมาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ สามารถ สร้างรายได้ผลกำไร ปี2565 ก้าวข้ามสถานการณ์โควิดแสนสิริเปิดผลประกอบการปี 2565 กวาดรายได้รวม 34,983 ล้านบาท กำไร 4,280 ล้านบาท โตก้าวกระโดด 112% ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบ 38 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 12.2% ของรายได้รวม โตขึ้นจากปี 2564ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 6.8% และปี2566 เช่นเดียวกันที่มีการเติบโตมีกำไรและรายได้สูงที่สุดในอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งปีแรกปี2566 และมีทรัพย์รวมกว่า1.3แสนล้านบาท

 จุดเริ่มต้นของ “แสนสิริ” เกิดจาก กลุ่ม “จูตระกูล” จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท แสนสราญ โฮลดิ้ง จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1 ล้านบาท เมื่อ28 กันยายน 2527 บริษัทแสนสราญ ปี 2531 บริษัท แสนสำราญ บุกเข้าสู่ธุรกิจเรียลเอสเตท ปลุกปั้นโครงการแรก คือ “บ้านไข่มุก” คอนโดมิเนียมตากอากาศริมหาดหัวหิน มีมูลค่าต้นทุน 250 ล้านบาท และประสบความสำเร็จอย่างสูงกลายเป็นผู้เล่นใหม่ในฐานะผู้พัฒนาโครงการในตลาดระดับสูง ภายใต้การบริหารของ 2 บิ๊กเนม คือ อภิชาติ จูตระกูล และเศรษฐา ทวีสิน ฐานะญาติที่เกี่ยวพันกัน ปัจจุบันราคาต่อตารางเมตรของบ้านไข่มุก วิ่งไปที่ 1 ล้านบาทเรียกว่าสูงไม่แพ้ 98 Wireless (ไนน์ตี้เอท ไวร์เลส) คอนโดมิเนียมหรู บนถนนวิทยุ

ฝ่าวิกฤตต้มยำกุ้ง

 ปี 2540 ประเทศไทยเผชิญวิกฤต ต้มยำกุ้ง แสนสิริตัดสินใจเทขายโครงการทั้งหมดออกสู่ตลาด เพื่อเร่งระดมเงินชำระหนี้ทั้งหมดปี 2543 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กลายเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ อันดับต้นๆ ที่ปรับโครงสร้างหนี้เสร็จสิ้นภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง พร้อมกับเร่งขยายแผนธุรกิจครั้งใหญ่ จากอาคารสูงในเขตใจกลางเมืองสู่การพัฒนาที่ดินแนวราบ ปี 2544 เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแห่งแรก “นาราสิริ วัชรพล” ปี 2545-2546 ลงทุนเพิ่มขึ้นในธุรกิจโรงแรม อพาร์ตเมนต์ และอาคารพาณิชย์ให้เช่า บริเวณใจกลางย่านธุรกิจสำคัญ ทั้งการลงทุนโดยตรง การเข้าถือหุ้นและร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ

ช่วงปี 2553 บริษัท ที.เอส.สตาร์ จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจ Holding Company ของนายเศรษฐา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ในครั้งนั้นได้ซื้อหุ้นจากกองทุนต่างชาติ ทั้งสิ้น 318,174,400 ล้านหุ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในแสนสิริจากเดิม 2.52% เพิ่มขึ้นเป็น 24.10% ของทุนที่เรียกชำระแล้ว ส่งผลให้กลุ่มนายเศรษฐาขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับแรกของแสนสิริ มีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2553

จับมือพันธมิตรปั้นธุรกิจ

  ปี 2556 เปิดตัว ESCAPE, Sansiri Hotel Collection แบรนด์ดีไซน์รีสอร์ตระดับกลางที่หัวหินและเขาใหญ่ปี 2557 จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ พัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าปี 2559 เปิดตัวโครงการแฟลกชิปคอนโดมิเนียม ‘98 ไวร์เลส’ บนถนนวิทยุ มูลค่ากว่า 8,500 ล้านบาท ปัจจุบันราคาขายต่อตารางเมตรพุ่งทะยานไปที่กว่า1ล้านบาทต่อตารางเมตร ปี 2560 ตั้งบริษัทร่วมทุนร่วมกับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและพัฒนา Community ร่วมกัน รวมทั้งร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ ก่อตั้ง Venture Capital

ในชื่อ บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด มีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างแสนสิริกับธนาคารไทยพาณิชย์ 90:10 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เพื่อลงทุนพัฒนานวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่ออนาคต และการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัย “พร็อพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี” (Property Technology) อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย ปีเดียวกันยังลงทุน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์ไตล์

เพื่อสร้างพันธมิตรธุรกิจที่หลากหลายและเป็นแหล่งรายได้ใหม่ ประกอบด้วย Standard International, One Night, Hostmaker, Justco, Farmshelf และ Monocleปี 2562 ลงทุนเพิ่มใน Standard International กว่า 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของแบรนด์โรงแรมระดับโลก โดยถือหุ้นกว่า 60% เพื่อสร้างรายได้และการเติบโต นอกเหนือจากธุรกิจหลักอสังหาริมทรัพย์

รุกใช้เงินดิจิทัลซื้อ-ขายอสังหาฯ

 ปี 2564 ตั้งบริษัท บีเอฟทีแซด บางปะกง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนสัดส่วน 50:50 ร่วมกับบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาพื้นที่และธุรกิจประเภทกิจการคลังสินค้าและอาคารโรงงานให้เช่า รวมถึงพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น เข้าลงทุนใน บมจ. เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) สร้างความร่วมมือด้านสกุลเงินดิจิทัล เช่น การใช้คริปโทซื้อบ้าน คอนโด จ่ายค่าส่วนกลางได้ทุกโครงการ

  เดือนตุลาคม 2565 ตั้งบริษัทร่วมทุนกับโตคิว คอร์ปอเรชั่น คือ บริษัท สิริทีเค ไฟว์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้น 70:30 เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และต่อมาเข้าซื้อหุ้นสามัญสัดส่วน 30% เปลี่ยนสภาพเป็นบริษัทย่อยในเครือ และได้การประกาศผลประกอบการความสำเสร็จของแสนสิริที่มีผลกำไรเติบโตสูงที่สุดในประวัติศาสตร์รอบ38ปีที่ตั้งบริษัทมา

 นายเศรษฐา ชื่อเล่นว่า “นิด” เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2506 ปัจจุบันอายุ60ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการเงิน จาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา เขาเริ่มการทำงานในปี 2529 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท P&G ประเทศไทย (จำกัด) ก่อนมาดำรงตำแหน่งประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ที่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

 ต้นเดือนเมษายน 2566 เขาได้ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งของแสนสิริ พร้อมโอนหุ้นทั้งหมดของ บมจ.แสนสิริ (SIRI) จำนวนกว่า 661,002,734 หุ้น ให้แก่ นางสาวชนัญดา ทวีสิน ผู้เป็นบุตรสาวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเตรียมพร้อมทำงานการเมืองในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย