นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ทั้งการปรับโครงสร้างการถือหุ้น และการจัดการของบริษัทฯ ด้วยการจัดตั้ง บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“บริษัทโฮลดิ้ง”)
โดยบริษัทโฮลดิ้งจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ กำหนดวิธีการชำระค่าหุ้น ด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทโฮลดิ้งในอัตราการแลกหุ้น (Share Swap ) หุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้ง 1 หุ้น ต่อ หุ้นสามัญของบริษัท 1 หุ้น ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการยื่นขออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. ราวเดือนกรกฏาคม ปี 2567 หลังจากนั้นจะยื่นขอเพิกถอนหุ้นของบริษัทฯ ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว เพราะมองเห็นโอกาสและลู่ทางในธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดได้ นอกจากงานก่อสร้าง จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบัน
เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปัจจุบันมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้เยอะ เช่น โควิดที่ผ่านมา อีกทั้งความล่าช้าของการประมูลงานก่อสร้างภาครัฐ อันเกิดจากการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย เช่น รัฐบาลในขณะนี้ยังไม่สามารถเบิกเงินงบประมาณประจำปี 2567 เพื่อใช้ลงทันก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง, รถไฟรางคู่ขอนแก่น-หนองคาย และ รถไฟทางคู่จิระ-อุบลราชธานี เป็นต้น
ทำให้การเติบโตของธุรกิจก่อสร้างเพียงอย่างเดียวเป็นไปได้ยาก เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิค่อนข้างต่ำ 3-5% สะท้อนจากราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ของบริษัทอยู่แค่ 15 เท่า ซึ่งเป้าหมายระยะยาวบริษัทต้องการ P/E ที่ 20-25%
ทำให้บริษัทจำเป็นต้องเสาะแสวงหาธุรกิจที่มีการเติบโตสูงในอนาคต และเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ โดยมองโอกาสทางธุรกิจในไทย อาทิ ธุรกิจพลังงาน สาธารณูปโภค อาทิ โรงไฟฟ้า และคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
ธุรกิจก่อสร้างไทยมีมูลค่าต่อปีประมาณ 1.2-1.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นงานก่อสร้างภาครัฐ และเอกชนในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ด้วยความที่ประเทศจะต้องใช้เงินกู้ มีภาระประจำที่ต้องใช้งบประมาณใปลงทุน อื่นๆ
ดังนั้นเชื่อว่างบลงทุนของภาครัฐ รวมถึงเอกชนในระยะหลายปีข้างหน้าคงไม่ได้เพิ่มมาก ประกอบกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีรายได้ระดับแสนล้านบาท ก็มักเริ่มมีปัญหาในการควบคุมต้นทุน ซึ่งจากประสบการณ์ของบริษัทพบว่าความสามารถในการทำกำไรสุทธิที่ดีที่สุดอยู่ที่ระดับรายได้ปีละ 40,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งบริษัทมีความพร้อมในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ เนื่องจากบริษัทไม่มีหนี้ระยะยาวเลย
นายภาคภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานก่อสร้างในมือประมาณ 1.02 แสนล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ 26,000 -27,000 ล้านบาท สำหรับปี 2567 ยังคงเตรียมประมูลงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เน้นงานก่อสร้างอาคารของภาคเอกชนเนื่องจากมีการตัดราคากันสูง
ทั้งนี้ภายหลังการดำเนินการดังกล่าว จะมีการแบ่งการบริหาร และกำหนดนโยบายของกลุ่มธุรกิจเดิม และกลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่และรองรับแผนการเติบโตในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
บริษัทจึงได้มีการวางกลยุทธ์ในการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) และธุรกิจก่อสร้างเดิมที่มี Backlog แข็งแกร่งกว่าแสนล้านบาท รวมถึงผลักดันให้รายได้ประจำ (Recurring income) มีสัดส่วนที่มากขึ้น เรายังคงให้ความสำคัญในธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเรา
โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจ ออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. กลุ่มธุรกิจหลัก คือกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่ดำเนินการภายใต้ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
2.กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน
3. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง โดยมีแผนจะลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง รวมถึงโครงการสัมปทานอื่นๆ ของภาครัฐ
4 กลุ่มธุรกิจอื่น ในรูปแบบจัดตั้งเป็นโฮลดิ้งคัมปะนี โดยมีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีความสามารถในการเติบโตสูง เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีและสารสนเทศ เป็นต้น
นายภาคภูมิ กล่าวว่า แผนปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการนี้ จะสามารถเพิ่มความสามารถในการเติบโตของบริษัท และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งในระยะยาว
ปัจจุบันเราได้เริ่มเดินหน้าจัดตั้ง บริษัท วิสดอม เซอร์วิสเซส จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ การขายและให้เช่าเครื่องจักรขนาดใหญ่ ด้วยมาตรฐานระดับสากล จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายและบริการ ภายใต้การนำเข้าแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น Liebherr จากประเทศเยอรมันนี และ Kato จากประเทศญี่ปุ่น
บริษัท เอส เอ็น ที คอนกรีต โซลูชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ การรับผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป ที่ใช้ในโครงการสำคัญต่างๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการทางยกระดับ สะพาน รวมถึงงานอุโมงค์ขนาดใหญ่ เป็นต้น
เราได้บริหารจัดการ บริษัท สเตคอน เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเดิมที่อยู่ในกลุ่ม ซิโน-ไทย เข้าดูแลในส่วนงานด้านพลังงาน ปัจจุบันได้จับมือกับพันธมิตรจัดตั้ง บริษัท DC Power BN1 จำกัด เพื่อลงทุนในธุรกิจ Data Center บนพื้นที่ติดถนนบางนา-ตราด กม.4
ทั้งหมดนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับ ซิโน-ไทย ซึ่งเป็นการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นสำคัญ
โดยบริษัทคาดการณ์รายได้จากธุรกิจในกลุ่มก่อสร้าง 5-10 ปีข้างหน้าประมาณ 40,000 ล้านบาทจะมีกำไรเติบโต 10% และตั้งเป้าหมายจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคป ในระดับ 1 แสนล้านบาท ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังเป็นธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนกำไร 50% และ กำไรจากการลงทุนธุรกิจอื่นๆ อีก 50%
วันนี้ STECON GROUP และกลุ่มบริษัท พร้อมเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง ที่จะทุ่มเทความรู้ ความสามารถ ในการพัฒนาธุรกิจ ให้เติบโต มั่นคง แข็งแกร่ง พร้อมกับการพัฒนาประเทศต่อไป