ตลาดบ้าน“ลักชัวรี” DNA ความสำเร็จ ของ “สิงห์เอสเตท”

19 ม.ค. 2567 | 00:55 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ม.ค. 2567 | 01:08 น.

ตลาดบ้าน“ลักชัวรี” DNA ความสำเร็จ ของ “สิงห์เอสเตท” เปิดตัวโครงการใหม่4โครงการมูลค่า9,600ล้านบาท -ซื้อที่ดินต่อเนื่องรองรับการพัฒนา3-5ปีข้างหน้า

KEY

POINTS

สิงห์เอสเตท เปิดตัวโครงการใหม่4โครงการมูลค่า9,600ล้านบาทและซื้อที่ดินต่อเนื่องรองรับการพัฒนา3-5ปีข้างหน้า

ยุทธศาสตร์การเติบโตของสิงห์เอสเตทปี2567มีเป้าหมายเติบโต 20% หรือมีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งขับเคลื่อนผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ

สิงห์เอสเตท เป็นตัวจริงในระดับลักชัวรี โดยในเซกเมนต์ นี้มีรายละเอียดมีส่วนผสมของคุณภาพความต้องการและให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม

สิงห์เอสเตทเน้นการทำธุรกิจที่ยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของลูกบ้านและสังคมรอบนอก

 

แม้ปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจโลกแต่กลุ่มบริษัท สิงห์ เอสเตท มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปพร้อมกับการเตรียมตั้งรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  คำกล่าวของ นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ S ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย ได้ออกมาตอกยํ้า แนวทางการทำธุรกิจแบบมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด  “Go Beyond Dreams” กับการก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 10 หลังประสบความสำเร็จ จากการพัฒนาโครงการระดับมาสเตอร์พีซ อาทิ โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการ  ครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์มาแล้ว

 

               โดยปีนี้นางฐิติมา ระบุว่า มีแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่อง 4 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท ที่ประกอบด้วยบ้านแนวราบ จำนวน 2 โครงการทำเลพรานนกและ แยกสุคนธสวัสดิ์ ถนน เกษตร-นวมินทร์  โครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการบนทำเลพระราม 3 ริมแม่นํ้าเจ้าพระยา และทำเลศรีราชา จังหวัดชลบุรีซึ่ง ศรีราชามีที่ดินในมือรวม 24 ไร่ โดยมีแผนพัฒนาเป็น โครงการมิกซ์ยูส รองรับการเติบโตของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี เบื้องต้นในเฟสแรก ลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม สำหรับกลุ่มซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าระยะยาวให้กับต่างชาติที่ทำงานในอีอีซีระดับราคาอยู่ที่ 3 ล้านบาทบวก-ลบก่อน และมีแผนซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาต่อเนื่องใน 3-5 ปีข้างหน้า

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์

อย่างไรก็ตาม สิงห์เอสเตท มีอัตลักษ์ในการพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี   นางฐิติมา แบ่งออกให้กลุ่มสินค้าที่ชัดขึ้น ได้แก่

1.อัลตร้าลักชัวรี   ราคาเกิน 100 ล้านบาท

2. ซูเปอร์ลักชัวรี ราคา 50-100 ล้านบาท

3. พรีเมียมลักชัวรี ราคา 30 ล้านบาท

และ 4.ลักชัวรี 15 ล้านบาท 

ที่ผ่านมาราคาสูงสุดอยู่ที่กว่า 500 ล้านบาทและขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว  ซึ่ง โครงการที่อยู่อาศัยของสิงห์เอสเตท เน้นความแพง  มีความหรูหรา เจาะกลุ่มเฉพาะที่ยังมีความต้องการสูง  ซึ่งตลาดนี้ยังไปอีกไกล และแม้จะมีผู้เข้ามาสู่สนามนี้กันมาก แต่ยังได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค โดยพิจารณาจากทำเลพุทธมณฑลสายหนึ่ง ทำเลที่มีการแข่งขันรุนแรงและเป็นสมรภูมิเดือดที่ทุกค่ายทุกแบรนด์เปิดโครงการหรูขาย ซึ่งโครงการของสิงห์เอสเตทกลับมียอดจองเกือบ 80% ซึ่งเหนือความคาดหมาย 

นางฐิติมายํ้าว่า  สิงห์เอสเตท เป็นตัวจริงในระดับลักชัวรี โดยในเซกเมนต์ นี้มีรายละเอียดมีส่วนผสมของคุณภาพความต้องการและให้ความสำคัญในเรื่องเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมดังนั้นการทำตลาดนี้ ไม่ง่ายบนความสำเร็จ สิงห์เอสเตท ชี้ให้เห็น ถึงความค่อนข้างชัดเจน และ ยืนหยัดเช่นขายบ้านราคา 20 ล้านบาท ต้องขายในราคา 20 บาทนั้นที่ดีที่สุดนี่คือ DNA ของสิงห์เอสเตท และเน้นการทำธุรกิจที่ยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของลูกบ้านและสังคมรอบนอก

 

“พุทธมณฑล สายหนึ่ง ทำเลแข่งเดือดแต่เรา สามารถมียอดจองที่สูงสะท้อนว่าเราประสบความสำเร็จ  สามารถสร้างรายได้จากยอดโอนจากที่พักอาศัย จากคุณภาพที่ดี”

อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์การเติบโตของสิงห์เอสเตทปีนี้มีเป้าหมายเติบโต 20% หรือมีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งขับเคลื่อนผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ

               ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย กลุ่มธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน และนิคมอุตสาหกรรม  ซึ่งธุรกิจโรงแรมที่ปรับราคาขายขึ้น 25% หลังปรับปรุงใหม่โดยนางฐิติมามองว่า ธุรกิจโรงแรม เป็นธุรกิจที่เป็นทรัพยสิน ซึ่งเป็นหัวใจ คือ ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ ที่จะมีมูลค่าหมุนกลับมาค่อนข้างสูงขณะ อาคารสำนักงาน ยอมรับธุรกิจนี้มีความท้าทายโดยสิงห์เอสเตท มี 4 อาคาร  ซันทาวเวอร์   สิงห์ คอมเพล็กซ์ ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพพื้นที่รวม 1.7 แสนตารางเมตร และนิคมอุตสาหกรรม ที่อ่างทอง เน้นสิ่งแวดล้อมที่ต้องอยู่ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ปี2567 ยังเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายรอบด้าน ต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจและการเดินทางมาของนักท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง โดยปี 2566ต่อเนื่องมาจากปี 2565 โควิดคลี่คลาย ผลต่อเนื่องเศรษฐกิจโดยรวมไม่สามารถพลิกฟื้น หรือยังไม่ผงกหัวขึ้น กลับยังภาพเดิมเหมือนปี 2562

สะท้อนจากก่อนโควิด ธุรกิจเติบโตจีนมองหาคอนโดมิเนียม แต่หลังโควิดภาพดังกล่าวเกิดช้าลง และมีข้อจำกัดของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไม่มาก แต่ธุรกิจโรงแรมโชคดีอยู่ในหลายภูมิประเทศแต่ละประเทศ เปิดสวิตช์ ไม่พร้อมกันแต่มีมัลดิฟส์ที่สามารถเปิดได้ก่อนทำให้มีผลกระทบต่อไทยและในฐานะที่ดำเนินธุรกิจนี้มาตลอด สิงห์ เอสเตท พร้อมที่จะผงกหัวขึ้น

 ดังนั้นในปี2566 สิงห์เอสเตท มีโรงแรมหลายประเทศที่สามารถดึงผลประกอบการกลับมาได้อย่างไรก็ตามนางฐิติมามองปีนี้มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้นแม้จะมีข้อถกเถียงกันมากบนความท้าทายแต่สิ่งที่สิงห์เอสเตท อาจมีปัจจัยลบน้อยกว่าคือการให้ความสำคัญในเรื่อง “กรีน” จุดแข็งที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยื่นนั่นเอง

กลยุทธ์สิงห์เอสเตท