กรุงเทพประกันภัยประเมินจีดีพีปีหน้าโตต่ำกว่า 3%

27 พ.ย. 2567 | 02:00 น.
อัปเดตล่าสุด :27 พ.ย. 2567 | 02:24 น.

กรุงเทพประกันภัยเผยความเปราะบางทางเศรษฐกิจฉุดรายได้รับประกันภัยปีนี้เหลือโต 7%วงเงิน 3.2หมื่นล้านบาท ประเมินปีหน้าจีดีพีขยายตัวต่ำกว่า 3.0%ชี้ภัยธรรมชาติกดดันความเสียหาย-หนุนเบี้ยประกันภัยต่อปี68

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี2567 โดยระบุว่า BKIคาดว่ารายได้จากการรับประกันภัยจะเติบโตที่ 7.0%หรือคิดเป็นรายได้ประมาณ 3.2หมื่นล้านบาทซึ่งต่ำจากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 8.0%มูลค่ารวม 3.24หมื่นล้านบาท

เนื่องจากความเปราะบางทางเศรษฐกิจทำให้ปีนี้รายได้พลาดเป้า 1.0%  ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้อย่างน้อยจะมีเบี้ยจากการรับประกันภัยนาข้าวเข้ามากว่า 100ล้านบาทและเบี้ยต่ออายุที่ยังคงมีอยู่ในไตรมาส4

ทั้งนี้ ภาพของกรุงเทพประกันภัย 9เดือนมีเบี้ยรับประกันภัยโต 5.2%ยังเป็นการโตที่พลาดเป้าจากที่ตั้งใจว่าจะโต 6.5-7.5% แต่ถือว่าBKIมีทิศทางเติบโตค่อนข้างชัดเจน เมื่อเทียบระบบอุตสาหกรรมวินาศภัยที่ติดลบ 0.5%

สาเหตุจากยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่ปรับประมาณการลดเหลือประมาณ 5.5แสนคันจากต้นปีที่ประมาณการไว้เกือบ 9แสนคันโดยที่รถยนต์ไฟฟ้า(อีวี)มียอดจดทะเบียนใหม่ราว 1.5แสนคันจากที่คาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดด2แสนคันและด้านเมกะโปรเจ็คที่คาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมในปีหน้าและนำเบี้ยสู่ระบบรับประกันภัยที่ชัดเชนขึ้น

อย่างไรก็ตาม 9เดือนที่ผ่านมาBKIมีเบี้ยประกันภัยรถยนต์เติบโต 9.9% เทียบกับระบบติดลบส่งผลพอร์ตเบี้ยรับประกันภัยรถยนต์ปีนี้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 44-45%จากเดิมอยู่ที่ 41-42%  ของเบี้ยรับรวมคิดเป็นเบี้ยประมาณ 13,000 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปีนี้คาดว่าพอร์ตประกันภัยรถยนต์จะเติบโตที่ 10%

“ภาพรวมเบี้ยประกันภัย 9เดือนไม่โตนัก ส่วนโครงการประกันนาข้าวปัจจุบันคงเหลือประมาณ 1,200-1,300ล้านบาทด้วยขนาดของพื้นที่รับประกันภัยที่หายไปครึ่งหนึ่งจากที่ประมาณการว่าน่าจะมีเบี้ยรับประกันภัยนาข้าวประมาณ 2,300ล้านบาท  แต่เชื่อว่าเบี้ยประกันภัยนาข้าวจะทยอยเข้ามาภายในสิ้นปีนี้และ BKI จะเป็น 1ในผู้รับประกันภัยนาข้าวโดยมีสัดส่วนประมาณ 13% เท่ากับทิพยประกันภัยและวิริยะประกันภัย”

สำหรับ กำไรสุทธิจากรับประกันภัยลดลง 15.9% อยู่ที่  1,361.9ล้านบาทเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว  ซึ่งเป็นผลจากอัตราความเสียหาย(Loss ratio)ที่เพิ่มขึ้น เห็นได้จากLoss ratioจากการรับประกันภัยรถยนต์ขยับเพิ่มกว่า 3%เป็น 59%จากเดิมอยู่ที่ 56% 

ซึ่งเป็นผลกระทบจากจากภัยธรรมชาติทั้งที่มาจากกิจกรรมทางสังคมที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด ,ความเสี่ยงจากพร๊อพเพอตี้และภัยน้ำท่วมช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมาซึ่งทุกบริษัทได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ในส่วนของBKIประมาณ 460ล้านบาทที่ยังไม่เรียกร้องจากการประกันภัยต่อ  (จากความเสียหายรวม 730ล้านบาทแบ่งเป็นความเสียหายจากการรับประกันภัยรถยนต์ 123ล้านบาทและจากทรัพย์สินทั้งบ้าน โรงแรม เอสเอ็มอีและรีสอร์ท 609ล้านบาท)

 ขณะเดียวกันBKIมีกำไรสุทธิจากการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น  1,304ล้านเพิ่มขึ้น 14.4%  สวนทางกำไรจากการรับประกันภัยลดลง 15.9% เพราะฉะนั้นตัวเลขก่อนหักภาษีไม่ต่างกันนัก ประมาณกว่า 100ล้านบาท  แต่หลังหักภาษี ณที่จ่าย ปีนี้BKIจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิ 9เดือน 2,290.7ล้านบาทลดลง 10% 

นายชัย โสภณพนิช  ประธานกรรมการ บมจ.BKIกล่าวว่าปีหน้าประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยน่าจะต่ำกว่า 3.0% เนื่องจากความไม่แน่นอนทั้งจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ/สงคราม และจากนโยบายทรัมป์ที่จะปรับเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้า

ซึ่งจะส่งผลต่อภาคส่งออกของไทยและทำให้สินค้าทะลักเข้ามาในเอเซียและไทย  รวมทั้งความเปราะบางทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังมีหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง  เป็นประเด็นเรื่องกำลังซื้อส่วนมาตรการแจกเงิน 10,000บาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นส่วนตัวมองว่าไม่ได้ช่วย

อย่างไรก็ตามด้านการส่งออกของไทย ส่วนตัวยังคาดหวังว่าจะดีขึ้นทั้งการส่งออกประเภทอาหาร พืช/ผลไม้   และอุตสาหกรรมที่ยังมีแนวโน้มจะเติบโตในปีหน้าส่วนใหญ่จะมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

 เช่น กลุ่มอาหาร  กลุ่มโรงแรม  กลุ่มธุรกิจค้าปลีก และกลุ่มโรงพยาบาลที่มีชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น สำหรับ สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปีหน้าคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ใน  1,450-1,650จุด  สาเหตุจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ค่อยดี  และมีข่าวการตกแต่งตัวเลขทางบัญชีบ้างรวมถึงธรรมาภิบาล

-ภัยธรรมชาติหนุนเบี้ยประกันภัยต่อปี68

นางสาวลสา โสภณพนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่BKI กล่าวถึงทิศทางภาพรวมตลาดการประกันภัยต่อในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าจะมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทรับประกันภัยต่อ (Reinsurer) ได้รับผลกำไรจากการดำเนินงานรับประกันภัยต่อมากขึ้น

เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการปรับเบี้ยประกันภัยต่อ (Reinsurance Pricing) เพิ่มสูงขึ้นมาก แม้ว่าจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566-2567 แต่ขนาดของความเสียหายโดยรวมยังอยู่ภายใต้การประมาณการ

อีกทั้ง Reinsurer ยังมีผลตอบแทนที่สูงจากการลงทุนในพันธบัตรและตลาดทุนโดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทรับประกันภัยต่อยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ปริมาณเงินกองทุนของบริษัทประกันภัยต่อเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นจากผลกำไรที่มากขึ้น

รวมถึงปริมาณเงินกองทุนที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทรับประกันภัยต่อส่วนใหญ่ต้องขยายงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าการต่อสัญญาประกันภัยต่อของบริษัทรับประกันภัยในปี 2568 ในสถานะที่เป็นผู้ซื้อความคุ้มครองจากสัญญาประกันภัยต่อในปีนี้ จะสามารถได้รับอัตราเบี้ยประกันภัยต่อใกล้เคียงกับปี 2567 แต่จะไม่ลดลงไปจากเดิม เนื่องจากสถานการณ์ของภัยธรรมชาติยังคงมีความเปราะบางสูง

-สู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ESG ยกระดับสร้างคุณค่าเพื่อโลกที่ดีกว่า

นางสาวปวีณา จูชวน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่BKI กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ผลักดันให้มีนโยบายและกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG: Environmental, Social and Governance) ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกค้าและคู่ค้าของบริษัทฯ มีส่วนร่วมในการช่วยให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น

1.การออกกรมธรรม์ประกันภัยบ้านอยู่อาศัย Green Guarantee หากลูกค้ากรมธรรม์ประกันอัคคีภัยบ้านอยู่อาศัยเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือวัสดุ Green ในการซ่อมแซมบ้านอยู่อาศัย บริษัทฯ จะอนุมัติค่าสินไหมทดแทนเพิ่มให้ตามจริง ไม่เกิน 10% ของวงเงินที่อนุมัติให้ในครั้งแรก โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2567

2. การเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลแทนการรับของสมนาคุณ โดยให้ลูกค้าที่ซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ สามารถเลือกเปลี่ยน Gift Voucher หรือของสมนาคุณที่ได้รับเป็นเงินบริจาคแก่องค์กรการกุศลได้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567

3.การส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการบริจาค โดยจะหักค่าเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันภัยสุขภาพส่วนหนึ่งเพื่อมอบให้แก่องค์กรการกุศล ซึ่งจะเริ่มให้ลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็งกับบริษัทฯ โดยตรง หรือผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงเทพ มีส่วนร่วมในการบริจาคเงิน 50 บาทต่อกรมธรรม์ ให้แก่องค์กรการกุศล โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2568

4.การลดใช้กระดาษเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการจัดส่งกรมธรรม์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Policy) โดยบริษัทฯ ได้รณรงค์สนับสนุนการใช้ e-Policy อย่างต่อเนื่อง พร้อมจะขยายให้ครอบคลุมประกันภัยทุกประเภท และในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าจัดส่ง e-Policy ที่ 1.07 แสนกรมธรรม์ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษรวมเกือบ 2 ล้านแผ่น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการจัดกิจกรรมภายในที่ให้ความสำคัญด้าน ESG และสร้างการตระหนักรู้ของพนักงาน เช่น โครงการเปลี่ยนเสื้อเก่าเป็นเสื้อใหม่ ใส่ใจสิ่งเเวดล้อม เพื่อโลกที่ยั่งยืนของเรา

ซึ่งพนักงานได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเสื้อโปโลและเสื้อคอกลมที่ไม่ใช้งานเเล้วกว่า 500 กิโลกรัม นำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลผลิตเป็นเสื้อยืดรุ่นใหม่ของบริษัทฯ ได้กว่า 2,000 ตัว โดยเป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากร ลดปริมาณขยะ ตลอดจนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้จัดโครงการเปลี่ยนขยะเศษอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยรวบรวมขยะเศษอาหารจากการรับประทานอาหารกลางวันของพนักงานนำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งได้นำไปบำรุงต้นไม้ในบริเวณโดยรอบอาคารกรุงเทพประกันภัย รวมถึงแจกจ่ายให้แก่พนักงานที่สนใจ

ปี 2567 นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในการเสริมสร้างความสำเร็จและขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ผ่านการฟื้นฟูยกระดับสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกกระบวนการอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อยกระดับองค์กรให้แข็งแกร่งและเดินหน้าสู่ความยั่งยืนในระยะยาว