RML เพิ่มทุน 3,588 ล้านบาท ผ่าน PP-RO หนุนขยายฐานธุรกิจ

16 ก.พ. 2567 | 00:53 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.พ. 2567 | 01:05 น.

RML เพิ่มทุน 3,588 ล้านบาท ผ่าน PP-RO หนุนขยายฐานธุรกิจ รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเพิ่มผลกำไรอย่างต่อเนื่อง

 

 

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัทฯ ครั้งที่ 1/2567 และวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 2/2567 ได้มีมติอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ขึ้นอีกจำนวน 3,588  ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,172 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 7,760 ล้านบาท 

สำหรับการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 3,588 ล้านบาทนี้ ได้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเป็น 2 ส่วน หุ้นเพิ่มทุนส่วนแรก เสนอขายให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) โดยจัดสรรให้ 2 บุคคล คือ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช และนายพาที สารสิน จำนวน  2,522 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.42 บาทต่อหุ้น และหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่ 2 เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering : RO) จำนวน 714 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.42 บาท ในอัตรา 9.38 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่

กรณ์ ณรงค์เดช

 

โดยจะมีการออกรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (RML-W1) รวมทั้งออกรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย (โครงการ RML ESOP WARRANT ครั้งที่ 1) มีราคาใช้สิทธิหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเงินที่บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้จะเป็นจำนวนไม่เกิน 1,711 ล้านบาท

ทั้งนี้การเพิ่มทุนจดทะเบียนดังกล่าวได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทฯ เรียบร้อยแล้ว ในขั้นตอนต่อไปเป็นการเสนอในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 22 มีนาคม 2567

อาคารสำนักงานocc ย่านเพลินจิต

การเพิ่มทุนและประสบความสำเร็จ ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในทิศทางธุรกิจของ RML ซึ่งการที่บริษัทฯ เสนอขายหุ้นให้บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) เป็นการรับประกันความสำเร็จในการเพิ่มทุนในครั้งนี้ และการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering : RO)  เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นทุกท่านมีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วย

โดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้ได้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้กับคุณพาที สารสิน ซึ่งจะเข้ามาถือหุ้นของบริษัทฯ และดำรงตำแหน่งกรรมการ  มีผลตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป คุณพาทีจะมีบทบาทสำคัญในการขยายฐานการลงทุนและพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยขยายไปยังอสังหาริมทรัพย์กลุ่มโรงแรมและการบริการ อาทิ โครงการ Branded Residences และโรงแรม ในหัวเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ อาทิ พัทยา และภูเก็ต

เพื่อรองรับการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปี 2567 นี้ ทั้งนี้ด้วยความสามารถของคุณพาทีที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจการบินและการท่องเที่ยว ประกอบกับความเป็นผู้นำที่มีความมุ่งมั่นและมีผลงานโดดเด่นจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ เติบโตขึ้นเป็นอันดับ1 ด้านผู้นำอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ชั้นนำของประเทศไทยได้อย่างแน่นอน” นายกรณ์ กล่าวเสริม

การเพิ่มทุนจดทะเบียนจะทำให้บริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเกื้อหนุนการเติบโตของบริษัทฯในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นเงินทุนที่มากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจ โดยในอนาคตบริษัทฯ มีความตั้งใจที่อยากจะก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเป็น Real Estate Financial Platform เปิดโอกาสให้มีการร่วมลงทุนจากกลุ่มกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ RML

ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 36 ปี พัฒนาโครงการมาแล้วรวมมูลค่าทุกโครงการทั้งสิ้นกว่า 150,000 ล้านบาท จำนวนยูนิตทั้งหมด 5,600 ยูนิต หรือคิดเป็นพื้นที่รวมแล้วกว่า 1 ล้านกว่า ตร.ม. ทุกโครงการปิดการขายทั้งหมด ยอดขายลูกค้าชาวต่างชาติเต็มโควต้า ประกอบกับทีมงานคุณภาพที่สามารถพัฒนาโครงการผ่านการวางแผนกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด และการขาย รวมถึงการมีพันธมิตรในระดับนานาชาติในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง

จะทำให้การขยายการลงทุนในรูปแบบของ Platform นี้ของบริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจไปในตลาดที่มีโอกาสมากขึ้น เช่น การลงทุนในรูปแบบ International Portfolios ที่มีผลตอบแทนสูงและสามารถรับรู้ผลกำไรได้ทันที โดยในเบื้องต้นมีกองทุนและนักลงทุนแสดงความสนใจใน Business Model นี้เป็นจำนวนมาก และทางบริษัทฯ เองมีความมั่นใจว่า Real Estate Financial Platform นี้จะเป็นจุดเปลี่ยน (Game Changer) ที่จะนำพาให้บริษัทฯ พร้อมเทิร์นอะราวด์ พลิกกลับมาแสดงผลกำไรภายในปี 2567

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ จะเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยมีการบริหารเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นกลยุทธ์ Asset light strategy ที่บริษัทฯ จะพัฒนาโครงการร่วมกับเจ้าของที่ดิน ทำให้ไม่ต้องสต็อกที่ดิน ซึ่งจะช่วยทำให้ประหยัดต้นทุนในการซื้อที่ดินมากขึ้นและสามารถขยายโครงการได้เร็วยิ่งขึ้น

อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ เพื่อรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับสูง โดยเตรียมเปิดขายโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ 3 โครงการ บน 3 ทำเล รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 16,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ ใจกลางสุขุมวิท มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 400-700 ล้านบาทต่อหลัง และโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรูปแบบ Branded Villa  ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ บนอ่าวกมลา ที่ภูเก็ต ราคาขายเฉลี่ย 600-1,000 ล้านบาทต่อหลัง  รวมทั้งโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรักษากระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดตั้งกองทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) เพื่อเป็นเจ้าของและดำเนินการ โครงการอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในประเทศไทยอย่าง ‘โอซีซี’ (One City Centre) ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 61,000 ตารางเมตร ที่ในปัจจุบันถือเป็นสุดยอดโครงการอาคารสำนักงานของประเทศไทยที่เป็นที่สุดในทุกมิติบนทำเล CBD เพลินจิต ติดสถานีบีทีเอสเพลินจิต และมีสะพานเชื่อมต่อจากอาคารสู่สถานีบีทีเอส ถนนวิทยุ และ Central Embassy ได้ตรง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก 

ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่    ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้ารวมประมาณ 70% ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นที่รู้จักในไทย โดยมีบริษัทที่สามารถเปิดเผยชื่อได้ อาทิ เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก,  ธนาคาร บีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก, อมาเดอุส เอเชีย บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวระดับโลก

รวมไปถึงมารูเบนิ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจหลากหลายครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมหลัก และอีกหลายบริษัทในเครือมิตซูบิชิ กรุ๊ป อีกกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่า ‘โอซีซี’ เป็นอาคารสำนักงานที่บริษัทระดับโลกเชื่อถือและไว้วางใจมากมาย ดังนั้น ด้วยการจัดกองทุน Private Equity Trust (PE Trust) จะทำให้นักลงทุนสามารถมีส่วนร่วมในกองทุนนี้ได้นี้ เพื่อให้โครงการมีการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมที่สุดและให้ผลตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นของของบริษัทฯ

โครงการหรูทำเลสุขุมวิท