ภูเก็ตจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทยจุดหมายปลายทางของทัวริสต์ทั่วโลกปัจจุบันเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากสถานการณ์โควิด-19คลี่คลาย ส่งผลให้ ที่นี่เป็นหนึ่งในหมุดหมายที่ต่างชาติเดินทางเข้ามาใช้ชีวิต
ย้อนไปช่วง โควิด-19 รัฐบาล “ประยุทธ์” มีนโยบาย “Phuket Sandbox” เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงตํ่าและปานกลางสามารถเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตได้โดยไม่ต้องกักตัว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม2564
จุดประกายให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะคนไทย ซึ่งเป็นตลาดใหม่ จึงเป็นโอกาสทองของดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพมหานคร ขยายการลงทุนโครงการในภูเก็ตรองรับกำลังซื้อทุกเซ็กเมนต์
จากเหมืองร้างสู่อาณาจักรแสนล้าน
ที่มองข้ามไม่ได้ นั่นคือ อาณาจักรลากูน่า ภูเก็ต 3,000 ไร่ ที่ บันยันกรุ๊ปบุกเบิกไว้ เมื่อปี 2523 กว่า 30 ปีจนถึงปัจจุบัน นับเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะภูเก็ตและปัจจุบันกลายเป็นแลนด์มาร์ค สำคัญในหาดบางเทา ย่านเชิงทะเล อำเภอถลาง ทำเลยอดนิยม ของนักท่องเที่ยว และดีเวลลอปเปอร์ เข้ามาปักหมุดโครงการรายรอบ อย่างโครงการ เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา ที่พูดถึงกันมากส่งผลให้ราคาที่ดินขยับร้อนแรง
จากเหมืองร้างที่ดินไม่มีมูลค่าหลายคนแอบคิดว่าแม้แต่ต้นไม่สักต้นอาจปลูกไม่ได้เพราะดินไม่ดีแต่ในที่สุดด้วยความเชื่อมั่นของนาย “โฮ กวงปิง” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บันยันกรุ๊ป สัญชาติสิงคโปร์ มีธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก ผู้บุกเบิกการท่องเที่ยว และผู้พัฒนา ลากูน่า ภูเก็ต มองการณ์ไกลเห็นที่ดินผืนนี้ มีศักยภาพ และมีเป้าหมายพัฒนาเป็นเมืองพักอาศัยที่ดีที่สุดในภูเก็ต และ นั่นก็เป็นเรื่องจริง
นายโฮ กวงปิง ให้สัมภาษณ์ว่า ได้เชื่อมั่นในศักยภาพของภูเก็ต สอดรับกับตลาดอสังหาริมทรัพย์บนเกาะที่กำลังเติบโตในทุกเซ็กเมนต์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะยุคหลังโควิด-19 จังหวัดภูเก็ต และมีแผนลงทุนถึง 15 โครงการ ในภูเก็ตของบันยันกรุ๊ป ซึ่งช่วยตอกยํ้าบทบาทการเป็น “เมืองน่าย้ายมาอยู่” ของภูเก็ตที่น่าจับตามอง จึงมีแผนขยายโครงการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง
ขยายลงทุนร่วมขับเคลื่อนภูเก็ต
นายโฮ กวงปิง สะท้อนว่าแผนพัฒนา โครงการจนถึงปัจจุบัน ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างและขาย ได้ลงทุนแล้วประมาณ 40,000 ล้านบาท ส่วนโรงแรมลงทุนประมาณ 14,000 ล้านบาท ในแง่ของอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายมีอยู่ประมาณ 12 โครงการ รวม 16,000 ล้านบาท สำหรับอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตมีที่ดินอยู่มากกว่า 3,000 ไร่ มูลค่าประมาณ 180,000 ล้านบาท หนึ่งในการลงทุนร่วมขับเคลื่อนภูเก็ตจุดหมายปลายทางระดับโลก
ต้องยอมรับว่ายังพัฒนาไปได้น้อยมาก ทั้งนี้ ภาพรวมของลากูน่าภูเก็ตที่มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 4.5 ตารางกิโลเมตร มีที่เรายังไม่ได้สร้างประมาณ 33% หรือประมาณหนึ่งในสาม หรือประมาณ 1.6 ตารางกิโลเมตรในพื้นที่นี่ มีผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 3,000 คน ของประชากรทั้งหมดของลากูน่า ถ้ารวมแขกในโรงแรมและพนักงาน อยู่ที่ประมาณ 15,000 คน แต่ในอนาคตเมื่อพัฒนาและสร้างพื้นที่ที่เหลือ ลากูน่าจะเป็นเมืองที่ใหญ่ขึ้นและเราอาจมีประชากรถึง 80,000- 100,000 คน
การแข่งขันรุนแรง ดันภูเก็ตเป็นที่รู้จัก
ขณะการแข่งขัน ยอมรับว่า มีความยากมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เพียงแค่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ จากกรุงเทพฯ อย่างแสนสิริ, แอสเซทไวส์ ศุภาลัยฯลฯ เริ่มเข้ามาที่ภูเก็ต แต่ยังมีผู้พัฒนาจากต่างชาติมากขึ้นด้วย เช่นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จาก ประเทศรัสเซีย เนื่องจากเราเป็นผู้พัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ตและพัฒนามายาวนานกว่า 30 ปี ในมุมมองคิดว่าการแข่งขันเป็นเรื่องที่ดีด้วยเหตุผล คือ ภูเก็ตจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะผู้พัฒนาทุกคนมีตลาดของตัวเอง ผู้พัฒนาจากรัสเซียมีตลาดรัสเซีย ผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯ ก็มีตลาดกรุงเทพฯ
ดังนั้นจึงยินดีกับการแข่งขัน และเนื่องจากเรามีที่ดินค่อนข้างมาก ประมาณ 3,000 ไร่ คาดว่าสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก 20 ปี ตลาดใหญ่คือรัสเซีย ตั้งแต่โควิดและการรุกรานยูเครน โดยรัสเซีย ทำให้มีคนรัสเซียมาอยู่ภูเก็ตมากกว่ากรุงเทพฯ เหมือนกับที่คนเมียนมามาอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ถ้าเป็นเรื่องศักยภาพคิดว่ามีมากมายจากหลายที่ แน่นอนว่าจีนเป็นที่แรกที่เติบโตก่อนรัสเซียขณะลูกค้าจีนยังคงอยู่ในระดับคงที่ ไม่ได้ลดลงแต่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่คิดว่าจีนจะกลับมามีศักยภาพอีกครั้งสิ่งที่น่าสนใจคือ สนามบินจาก 67 เมืองทั่วโลกมีไฟลท์บินตรงมาที่ภูเก็ต
คิดว่าประเด็นหลักที่ เห็นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในภูเก็ตคือภูเก็ตได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างจริงๆ ดังนั้นจะมีผู้ซื้อมากมายมาจากทุกที่ และล่าสุด เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งประชุมกับผู้จัดการฝ่ายขายของเราจากทั่วโลก แม้ว่าเราจะเป็นผู้พัฒนาขนาดเล็กแต่มีผู้จัดการฝ่ายขายในต่างประเทศมากกว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อื่น ๆ ในประเทศไทย เนื่องจากผู้พัฒนา ในไทยส่วนใหญ่เน้นขายให้กับคนไทย แต่เราขายให้ชาวต่างชาติ ดังนั้นเรามีตัวแทนในประมาณ 30 ประเทศ โดยวางเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีต้องมีตัวแทนขายในทุกเมืองที่มีไฟล์ทบินตรงไปยังภูเก็ต
โควิดฉุดพฤติกรรมคนไทยเปลี่ยน
ในอดีตภูเก็ตไม่เคยเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมสำหรับการท่องเที่ยวหรือนักอสังหาริมทรัพย์ชาวไทย คนไทยมักจะไปพัทยา และเมื่อพัทยามีการพัฒนามากเกินไป พวกเขาก็ย้ายไปที่จอมเทียน หัวหิน หรือเขาใหญ่ เพื่อพักผ่อนหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ ใช้ระยะเวลาการเดินทางขับรถ 3 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ สำหรับเราแล้วมันเป็นแบบนี้มา 20 ปี อย่างไรก็ตาม
นายโฮ กวงปิง มองว่า หลังจากโควิด ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น เพราะคนไทยที่มีรายได้ดีเคยไปเที่ยวที่ยุโรป หรือญี่ปุ่น และเมื่อไม่ได้เดินทางไปประเทศเหล่านั้น จึงได้เที่ยวภายในประเทศและมาที่ภูเก็ต ซึ่งคนไทยที่มีกำลังทรัพย์มากบางคนก็ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาสูงที่ภูเก็ต 200 หรือ 300 ล้านบาท เมื่อบรรดาผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตมากขึ้น คนอื่นๆ จึงเริ่มสนใจเข้ามาซื้อเช่นกัน ปัจจุบันพบว่ามีคนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่กำลังซื้อที่ซื้ออสังหาฯในภูเก็ต เพราะภูเก็ตสวยงาม และสามารถแข่งขันกับพัทยาและจอมเทียนได้
นี่คือหลักคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่จำเป็นต้องมีปริญญาโท หรือปริญญาเอก แต่อาศัยการวิเคราะห์ ความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ ที่นายโฮ กวงปิง ซีอีโอ บันยันกรุ๊ป ได้วางไว้ !!!