นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ว่าเป็นปีที่ต้องเผชิญปัจจัยลบหลากหลายด้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูง ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และนโยบาย Loan-to-Value (LTV) ที่จำกัดการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงินบาทแข็งตัวในช่วงกลางปี และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะในตลาดกลางล่างที่ผู้บริโภคไม่มีโอกาสเข้าถึงการซื้อบ้าน
“ปี 2567 ถือเป็นปีที่ยากลำบากที่สุดสำหรับธุรกิจอสังหาฯ เรียกได้ว่าเป็นปีแห่ง Perfect Storm โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่เป็นจุดต่ำสุดของปี อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากโครงการใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ”
ยอดขายพรีเซลล์เมื่อสิ้นปีคาดว่าติดลบประมาณ 25% สินค้าหลายประเภทถือว่าเป็นนิวโลวในรอบหลายสิบปี ซึ่งถือเป็นปีมรสุมสำหรับธุรกิจอสังหาฯ ด้านยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาติดลบ 8% แต่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีตึกใหม่ๆ ที่ขายเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เสร็จพร้อมโอนค่อนข้างมากเทียบได้กับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 รวมกัน มูลค่าประมาณ 87,000 ล้านบาท จะส่งผลให้เมื่อสิ้นปียอดโอนกรรมสิทธิ์จะติดลบน้อยลงอยู่ที่ 5-7% แต่ก็ทำให้ยอดการก่อสินเชื่อใหม่ลดลงตามยอดโอนราว 7% เช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่สำคัญคือยอดขายที่ลดลงในปีนี้จะส่งผลสำคัญที่จะทำให้การรับรู้รายได้ในอีก1-2 ปีข้างหน้าลดลง ส่วนยอดโอนถือเป็นตัวชี้วัดยอดขายใน 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยอดขายจากต่างประเทศที่ยังคงประคับประคองให้ยอดโอนในปีนี้ยังอยู่ได้ ทั้งนี้มองว่า ปีนี้อาจเป็นจุดที่ต่ำสุดในส่วนของยอดขาย ปีหน้าน่าจะฟื้นตัวได้จากยอดที่ติดลบราว 5-10% จากปีนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ตลาดยังต้องเผชิญความท้าทายในปีหน้า โดยเฉพาะดีมานด์ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ขณะที่ดีมานด์ต่างชาติยังคงเข้ามาสนับสนุนตลาด โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ
“ปัญหาสำคัญคือดอกเบี้ยที่ยังสูง และนโยบาย LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อดีมานด์ในประเทศ ทำให้คนไทย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้กลางล่าง ไม่มีโอกาสซื้อบ้านเป็นของตนเอง” นายประเสริฐกล่าว
ทั้งนี้ นายประเสริฐเรียกร้องให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยและทบทวนนโยบาย LTV เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ พร้อมสนับสนุนการดึงดูดและจัดระเบียบดีมานด์จากต่างชาติให้โปร่งใส เพื่อให้เกิดการจัดเก็บภาษีและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจไทย และสามารถนำมาเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยได้