นางสาวสุจรรยา เศรษฐนันท์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและพัฒนาความยั่งยืน กลุ่มบริษัททีเอพี ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มไฮเนเก้น ไทเกอร์ และเชียร์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เรียกว่า “Brewing a Better World” ซึ่งเป็นแผนแม่บทจาก Heineken อันทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับ 6 เรื่องหลัก ได้แก่ การอนุรักษ์แหล่งน้ำ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการดื่มอย่างรับผิดชอบ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัย เป็นต้น
“เราเล็งเห็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอันมีผลกระทบต่อชุมชนในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นชุมชนที่โรงเบียร์ของเราตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศอย่างฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 แม้กระทั่งภาวะโลกร้อนของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ในชั้นบรรยากาศ โดยเราตั้งใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการสร้างพื้นที่สีเขียวในชุมชนรอบๆ โรงเบียร์ พร้อมรณรงค์การลดมลพิษและเพิ่มออกซิเจนในบรรยากาศอันสอดคล้องจากผลการศึกษาของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่พบว่า ต้นไม้ใหญ่เพียงหนึ่งต้นสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 9-15 กิโลกรัมต่อปี ช่วยลดอุณหภูมิรอบบ้านได้ 2-4 องศาเซลเซียส และดักจับฝุ่นได้ 1.4 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งการปลูกต้นไม้ถือเป็นหนึ่งในวิธีในการช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับชุมชน จึงเป็นที่มาของโครงการ “Grow Plant Grow Community” เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนรอบโรงเบียร์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและยังช่วยในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย”
ด้านนางสาวนันท์นภัส ขันธ์วราพันธิชัย ตัวแทนฝ่ายสิ่งแวดล้อม กลุ่มบริษัททีเอพี กล่าวเสริมว่า “โรงเบียร์ของเราคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกรายละเอียดขั้นตอน เราทำการรับผิดชอบต่อการปล่อยน้ำเสียจากโรงเบียร์ด้วยการบำบัดน้ำเสีย ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดโดยบ่อบำบัดของเราเองหรือจากบริษัทภายนอกก่อนที่จะปล่อยคืนลงสู่แหล่งน้ำที่เป็นส่วนหนึ่งในระบบนิเวศน์ในการใช้อุปโภคบริโภคของคนในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งปุ๋ยที่เรามอบให้กับชุมชน คือ ปุ๋ยคุณภาพจากการแปรรูปของเสียในกระบวนการผลิต ผ่านกระบวนการบำบัดกากตะกอนหรือสลัดจ์ เพื่อนำส่งต่อให้กับบริษัทภายนอกเพื่อแปรรูปให้กลายเป็นปุ๋ยคุณภาพที่สามารถใช้เพื่อประโยชน์ในการเกษตรได้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการและบริหารทรัพยากรอย่างยั่งยืน ที่ไม่เพียงแต่ลดปริมาณของขยะของเสียหลังกระบวนการผลิต แต่ยังช่วยต่อยอดให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้อีกด้วย”
อย่างไรก็ตามบริษัทมุ่งหวังว่าโครงการ “Grow Plant Grow Community” จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนรอบโรงงานให้เติบโตอย่างยั่งยืนและขยายวงกว้างอย่างทั่วถึง รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนในจังหวัดนนทบุรีกำลังประสบปัญหาหรือได้รับผลกระทบอยู่ นอกจากนี้บริษัทยังพร้อมสนับสนุนโครงการที่เป็นสาธารณประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้ผู้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น