กางแผน กสศ. ปี 68 ลุยดึงเด็กนอกระบบ 9 แสนคน กลับสู่การเรียนรู้แบบยั่งยืน

06 ม.ค. 2568 | 08:22 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ม.ค. 2568 | 08:32 น.

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เผยแผนปี 2568 ลุย นโยบาย Thailand Zero Dropout ดึงเด็กหลุดระบบศึกษา 900,000 คน กลับเข้าระบบ ชูโมเดลการศึกษาใหม่ สร้างการศึกษาที่ยืดหยุ่น-เท่าเทียม ตอบโจทย์อนาคต

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)  เปิดเผยแนวทางสำคัญสำหรับปี 2568 ในการลดจำนวนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ภายใต้นโยบาย “Thailand Zero Dropout  (ไทยแลนด์ซีโร่ดรอปเอาท์)” ที่มุ่งสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาในทุกมิติ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในระยะยาว

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

แนวทางสำคัญของ Thailand Zero Dropout

ในปี 2568 กสศ. จะดำเนินการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างจริงจัง ผ่านมาตรการสำคัญดังนี้:

1.ค้นหาและดึงเด็กกลับสู่ระบบการศึกษา

ในปีที่ผ่านมา กสศ. ได้ค้นหาและช่วยเหลือเด็กนอกระบบให้กลับเข้าสู่การศึกษาได้ถึง 300,000 คน จากตัวเลขเด็กนอกระบบที่มีมากกว่า 1.02 ล้านคนในช่วงเริ่มต้นของโครงการ ตัวเลขดังกล่าวได้ลดลงเหลือ 900,000 คนในปัจจุบัน

โดยการดำเนินการนี้อาศัยความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นๆ ในการรวบรวมข้อมูลทะเบียนราษฎร์และจัดทำแผนที่เด็กนอกระบบเพื่อระบุเป้าหมายที่ชัดเจน

กางแผน กสศ. ปี 68 ลุยดึงเด็กนอกระบบ 9 แสนคน กลับสู่การเรียนรู้แบบยั่งยืน

2. การศึกษาแบบยืดหยุ่น

กสศ. มุ่งเน้นผลักดันปรับรูปแบบการศึกษาให้ตอบสนองความหลากหลายและศักยภาพของเด็กแต่ละคน เช่น การเรียนผ่านระบบดิจิทัล, การเรียนในสถานประกอบการ, ศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน หรือการจัดการศึกษาแบบโมบายเฟิร์สที่สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลได้ ความยืดหยุ่นนี้จะช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ในรูปแบบที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิต

กางแผน กสศ. ปี 68 ลุยดึงเด็กนอกระบบ 9 แสนคน กลับสู่การเรียนรู้แบบยั่งยืน

3. ส่งเสริมความร่วมมือจากภาคเอกชน เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนที่ยั่งยืน

กสศ. ได้เสนอมาตรการจูงใจทางภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีสองเท่า สำหรับภาคเอกชนที่สนับสนุนโครงการด้านการศึกษา รวมถึงการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการจ้างงานหรือสนับสนุนการฝึกทักษะอาชีพแก่เยาวชนในระบบการศึกษาแบบใหม่

บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคม

ดร.ไกรยส กล่าวถึงผลกระทบที่ชัดเจนของการศึกษาในเชิงเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า การลดจำนวนเด็กนอกระบบการศึกษาสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ได้ถึง 1.7% ต่อปี ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของการเติบโตเศรษฐกิจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในหลายชั่วอายุคน

กางแผน กสศ. ปี 68 ลุยดึงเด็กนอกระบบ 9 แสนคน กลับสู่การเรียนรู้แบบยั่งยืน

“การศึกษาที่มีคุณภาพไม่ได้เพียงแค่สร้างโอกาสให้เด็ก แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว เราไม่สามารถปล่อยให้เด็กแม้แต่คนเดียวหลุดออกจากระบบ เพราะทุกคนคืออนาคตของชาติ” ดร.ไกรยส กล่าว

กางแผน กสศ. ปี 68 ลุยดึงเด็กนอกระบบ 9 แสนคน กลับสู่การเรียนรู้แบบยั่งยืน

ผู้จัดการ กสศ. ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่มีคุณภาพ โดยชี้ว่าเด็กที่ได้รับการศึกษาและพัฒนาทักษะที่เหมาะสม จะสามารถสร้างรายได้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน

การจัดการเชิงระบบและความร่วมมือในระดับพื้นที่

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ กสศ. คือการทำงานเชิงพื้นที่ (Area-Based Approach) โดยร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครในชุมชน ในการสำรวจและดึงเด็กนอกระบบกลับเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ พร้อมพัฒนาระบบการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี และเชียงใหม่ ที่มีตัวเลขเด็กนอกระบบการศึกษาสูง

กางแผน กสศ. ปี 68 ลุยดึงเด็กนอกระบบ 9 แสนคน กลับสู่การเรียนรู้แบบยั่งยืน

นอกจากนี้ กสศ. ยังเตรียมปรับปรุงระบบการศึกษาให้ทันสมัย เช่น การใช้แอปพลิเคชันช่วยค้นหาและติดตามเด็กนอกระบบ การจัดระบบการเรียนรู้ที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา และการเชื่อมโยงหน่วยกิตจากการเรียนรู้ที่หลากหลายกลับมาสู่ระบบการศึกษาเพื่อสร้างความต่อเนื่อง

การเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคต

ดร.ไกรยส สรุปว่า ในปี 2568 กสศ. จะมุ่งเน้นการผลักดันการพัฒนารูปแบบการศึกษาใหม่ที่ตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัล โดยเน้นให้เด็กไทยสามารถเรียนรู้ได้ในทุกสถานการณ์ และไม่ต้องแบกรับต้นทุนชีวิตที่เกินความจำเป็น

กางแผน กสศ. ปี 68 ลุยดึงเด็กนอกระบบ 9 แสนคน กลับสู่การเรียนรู้แบบยั่งยืน

“โรงเรียนในอนาคตไม่ใช่เพียงสถานที่ แต่คือระบบที่ยืดหยุ่นพอที่จะตอบสนองความต้องการของเด็กทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในโรงงาน ในชุมชน หรือแม้กระทั่งผ่านโทรศัพท์มือถือ เด็กทุกคนควรมีสิทธิ์ในการเรียนรู้ และการศึกษาควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม”