สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 2.03 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 76.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 2565
ส่วน สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วงลง 2.09 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 84.06 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ 14 ม.ค. 2565
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.81% แตะที่ระดับ 114.1030 เมื่อคืนนี้ โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยและส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. และปรับขึ้นอีก 0.50% ในในวันที่ 5 ต.ค.นี้ ซึ่งหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวตามคาด จะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันถึง 4 ครั้งในการประชุมเดือนมิ.ย.,ก.ค.,ก.ย.และพ.ย.
นักลงทุนจับตาผลกระทบของการที่สหภาพยุโรป (อียู) ใช้มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย โดยมาตรการดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค. รวมทั้งจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันที่ 5 ต.ค.นี้ เพื่อกำหนดนโยบายการผลิตสำหรับเดือนพ.ย.
ส่วนการประชุมโอเปกพลัสเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมมีมติปรับลดกำลังการผลิต 100,000 บาร์เรล/วันสำหรับเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับลดกำลังการผลิตครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปีเพื่อพยุงราคาน้ำมันในตลาดโลก