นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยในการบรรยายพิเศษ หัวข้อ "Road Map พลังงานไทย" ว่า กระทรวงพลังงานได้กำหนดแผนพลังงานชาติ ที่ปรับกรอบแผนใหม่ แบ่งเป็น 4 แนวทาง ได้แก่
ทั้งนี้ โรดแมปด้านพลังงานในอนาคตมีการปักหมุดหมาย เพราะการที่จะไปให้ถึงความเป็นกลางทางคาร์บอนในอีก 30 ปี ข้างหน้า มี 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่
ส่วนการบริหารจัดการพลังงานแห่งอนาคต เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน มี 3 สิ่งสำคัญ ได้แก่
นายวัฒพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า พลังงานชาติ ทั้ง 5 แผนย่อยเสร็จแล้ว โดยแผนใหญ่จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปพลังงาน และแผนสภาพัฒน์ฯ เพื่อให้ประเทศในภาพรวมมีขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น เปลี่ยนผ่านประเทศสู่พลังงานสะอาด ซึ่งความก้าวหน้าคือ ภายในไตรมาส 4 นี้ แผนแต่ละแผนจะแล้วเสร็จ จากนั้นจะเข้าสู้ขั้นตอนรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ทั้ง 5 แผนย่อย
ก่อนจะประกอบร่างเป็นแผนพลังงานชาติ ภายในไตรมาส 1/2566 จากนั้นจะนำไปใช้ในไตรมาส 2/2566 โดยการที่ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคพลังงาน การจะเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงการสนับสนุนทางด้านการเงิน เทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาบุคลากรด้านพลังงานเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญในการทำให้แผนดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายต่อไป
นายวัฒพงษ์ กล่าวอีกว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงทิศทางพลังงานของโลกได้ ทำให้ต้องเดินตามโรดแมปของภาคพลังงานไทย ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางพลังงานโลก ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยภายในปี 2100 ทั้งโลกจะพยายามลดการปลดปล่อยก๊าสเรือนกระจก และพยายามควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส หากเทียบเป็นปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 50 ล้านล้านตัน ที่ต้องไปถึงเป้าหมาย โดยเซกเตอร์พลังงานเป็นเซกเตอร์ที่มีความสำคัญ เพราะเป็นภาคที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 70%
ขณะนี้ทั้งโลกมี 5 แนวทางเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ได้แก่
สำหรับประเทศไทยมีการนำเสนอเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกต่อประชาคมโลก มีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ที่เรียกว่า เอ็นดีซี (Nationally Determined Contribution)ภายใน พ.ศ. 2573 หรือ ปี 2030 มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 20-25% เมื่อเทียบกับการดำเนินงานในกรณีปกติ
แต่สนพ.ได้ปรับแผนเพิ่มเป้าหมายลดลงให้ได้กว่า 40% เพื่อให้ภายในปี 2050 จะไปถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และในปี 2065 เราจะก้าวไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions)