นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กำลังเร่งจัดการจัดทำอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ เอฟที ในงวดใหม่ปี 2566 ซึ่งคงต้องสะท้อนต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่แท้จริง ซึ่งการที่รัฐปรับมาใช้การผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันดีเซลแทนก๊าซธรรมชาติ ก็อาจทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอาจลงไม่มากนัก
ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดการณ์ว่าค่าเอฟทีงวดแรกของปี2566 อาจจะใกล้เคียงกับงวดสุดท้ายของปี2565 ที่เรียกเก็บทั้งสิน 93.48 สตางค์ เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน ค่าไฟฟ้างวดแรกต้องสูงมากกว่า 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งขณะนี้จะต้องรอการประชุมของบอร์ด กกพ. ที่จะนำต้นทุนทั้งหมดมาประเมินโดยคาดว่าจะประกาศค่าเอฟทีในงวดใหม่ได้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้
ดังนั้น หากรัฐบาลจะตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ส่วนต่างจากค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น รัฐจะต้องหางบประมาณเพื่อพยุงค่าไฟและลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน ขณะนี้ กกพ. กำลังเร่งสรุปตัวเลขจำนวนครัวเรือนที่จะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนาฝ่าวิกฤตพลังงานโลกทางรอดพลังงานไทย ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ว่า ในส่วนของอัตราค่าไฟฟ้า คาดว่าจะมีการตรึงอัตราค่าไฟฟ้า 4.72 บาทต่อหน่วยไปจนถึงไตรมาสสองของปี 2566 หรือในช่วงของการคำนวนค่าเอฟทีงวดแรกของปี 2566 ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน โดยคณะกรรมการ กกพ.
กระทรวงพลังงานจะทำทุกวิธีที่ทำให้ค่าไฟคงอยู่ในระดับ 4.72 บาทเหมือนปัจจุบัน ตอนนี้ต้นทุนราคาแอลเอ็นจี (LNG) เฉลี่ยที่ประมาณ 34 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่งจากการคำนวณหากราคาแอลจีขยับขึ้นไปถึง 50-55 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู จึงส่งผลให้ราคาค่าไฟปรับขึ้นจาก 4.72 บาท เป็น 7 บาท ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันผลิตพลังงานไฟฟ้าแทนจึงคุ้มค่ากว่าหากราคาน้ำมันอยู่ที่ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ในไตรมาส 4 จนถึงไตรมาส 1 ปีหน้านั้น จะมีการปรับเปลี่ยนใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้า โดยได้ประสานกับโรงไฟฟ้า ภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนน้ำมัน 250-300 ล้านบาร์เรล/เดือน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ได้ช่วยลดการนำเข้าแอลเอ็นจีได้
นอกจากนั้น ยังมีการวางแนวทางอื่นๆ เพื่อให้ค่าไฟคงที่ อาทิ