ถือเป็นดีลใหญ่เริ่มต้นปี 2566 เมื่อบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 65.99 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหรือราว 2,283.75ล้านหุ้นในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน จากสหรัฐอเมริกา โดยตั้งต้นซื้อขายตามมูลค่ากิจการที่ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น ทั้งนี้ หากอ้างอิงตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3 ของปี 2565 ของเอสโซ่ จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
อีกทั้ง บางจากจะทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดของเอสโซ่อีกจำนวน 1,177.10 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 34.01 % จากบรรดาผู้ถือหุ้นที่เหลือและรายย่อยอีก หลังจากสิ้นสุดการเข้าซื้อหุ้นของเอ็กซอนโมบิลแล้ว ทั้งหมดคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566 นี้ ซึ่งหมายความว่าบางจากได้เทคโอเวอร์เอสโซ่ 100 %
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า การเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“เอสโซ่”) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (“ExxonMobil”) ในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของเอสโซ่ มีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 2566
การลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น และเป็นการพลิกโฉมสู่บริบทใหม่สำหรับบางจากฯ และประเทศไทย
ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่ได้มาจากการซื้อครั้งนี้ จะมีโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้นจากท่าเรือของเอสโซ่ที่มีอยู่ และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกัน และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและมีรายได้ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นระดับ 1,500-2,000 ล้านบาททันที
รวมถึงการได้ถือหุ้นบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด ที่เอสโซ่ถืออยู่ 21 % และหุ้นของบริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) 7.06% ซึ่งจะส่งผลให้บางจากบริการขนส่งน้ำมันทางท่อได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป ขณะที่แบรนด์เอสโซ่หรือสถานีบริการน้ำมัน จะเปลี่ยนเป็นบางจากภายใน 2 ปี
แหล่งข่าวจากนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมน้ำมัน กล่าวว่า บางจากฯ ซื้อหุ้นของบริษัท ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd.ครั้งนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์กับทางบางจากในการขยายธุรกิจของโรงกลั่นน้ำมันและค้าปลีกน้ำมันได้เร็วขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการใช้น้ำมันที่มีการขยายตัว
อีกทั้ง เห็นว่าโรงกลั่นน้ำมันบางจากอยู่ในเขตชุมชน การขยายงานทำได้ยาก และในอนาคตอาจจะต้องย้ายออกไป ถ้าได้โรงกลั่นเอสโซ่เข้ามา ที่มีขนาดพื้นที่กว่า 800 ไร่ จะเป็นช่องทางในการขยายธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันได้อีก
นอกจากนี้ การขนส่งน้ำมันดิบที่จะเข้าสู่โรงกลั่นบางจาก มีค่อนข้างจำกัด รับเรือขนาดใหญ่ไม่ได้ เมื่อเทียบกับโรงกลั่นเอสโซ่ ที่มีท่าเรือขนาดใหญ่ รับส่งน้ำมันได้สะดวกกว่าในปริมาณที่มากขึ้น มีความพร้อมช่วยลดต้นทุนการนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่น
รวมถึงการได้หุ้นที่เอสโซ่ถืออยู่ในบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด ที่สามารถส่งน้ำมันไปยังคลังที่สระบุรีได้ ก็จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าในการขายน้ำมันได้มากขึ้น เท่ากับว่าบางจากจะมีระบบโลจิตส์ติกครอบคลุมการขนส่งน้ำมันเกือบทั้งประเทศ
ขณะที่ค้าปลีกน้ำมัน จะช่วยให้บางจากขยายตลาดได้เร็วขึ้นจากจำนวนสถานีบริการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 700 แห่ง จะทำให้การขายน้ำมันมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นมาอยู่ที่ราว 29 %
“การซื้อหุ้นของเอ็กซอนโมบิล เท่ากับว่าบางจากเดินทางลัดในการเติบโตของธุรกิจโรงกลั่นและค้าปลีกน้ำมัน และยังก้าวสู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วย ซึ่งหลังจากสิ้นสุดในการซื้อหุ้นแล้ว คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 1-2 ปี บางจากจะเปลี่ยนแบรนด์สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ เป็นของบางจากทั้งหมด”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า การขายหุ้นของเอ็กซอนโมบิลครั้งนี้ ถือเป็นการปิดฉากการดำเนินงานของเอสโซ่ที่ดำเนินกิจการค้าน้ำมันในไทยมากว่า 125 ปี ด้วยเหตุการแข่งขันตลาดน้ำมันที่มีค่อนข้างสูง ที่มีเจ้าตลาดใหญ่อย่างบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ และบางจากฯ เป็นผู้เล่นหลัก ประกอบกับที่ผ่านมารัฐบาลใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล จนส่งผลให้กำไรจากการค้าปลีกน้ำมันลดลง และปริมาณการจำหน่ายที่ลดลงด้วย
อีกทั้ง ที่ผ่านมาเอ็กซอนโมบิล เห็นว่าด้วยขนาดกำลังการผลิตของโรงกลั่นที่มีอยู่ ไม่สามารถที่จะอยู่รอดได้ จำเป็นต้องขยายธุรกิจเข้าสู่ปิโตรเคมีเต็มรูปแบบ โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานและวัตถุดิบของโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่มาช่วยต่อยอด ซึ่งมีแผนการลงทุนมาตั้งแต่ปี 2561 ที่จะตั้งโรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ มูลค่าการลงทุนราว 2 แสนล้านบาท เพื่อผลิตปิโตรเคมีและส่งออกให้กับลูกค้าในต่างประเทศเป็นหลัก
โดยต้องการพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 600 ไร่ และต้องอยู่ใกล้กับท่าเรือของโรงกลั่นเอสโซ่ เพื่อดำเนินการต่อท่อรับและขนถ่ายวัตถุดิบใช้ในการผลิต ทางเอ็กซอนโมบิลจึงขอให้ทางรัฐบาลดำเนินการจัดหาที่ดินตั้งโรงงานดังกล่าวให้ สุดท้ายไม่สามารถดำเนินการจัดหาพื้นที่ได้ ทางเอ็กซอนโมบิล จึงไม่สามารถพิจารณาลงทุนได้มาจนถึงทุกวันนี้ และสุดท้ายต้องถอดการลงทุนเกือบจะทั้งหมดออกจากไทยไป
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3853 วันที่ 15 -18 มกราคม พ.ศ. 2566