นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (รมว.พลังงาน) เปิดเผยถึงแนวทางการลดค่าไฟเหลือ 4.10 บาทต่อหน่วยว่า มาตรการดังกล่าวจะเริ่ม 20 ก.ย.- สิ้นปีนี้
ทั้งนี้ ได้ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือกกพ.ไปพิจารณาแนวทางบริหารค่าไฟฟ้าให้ลดลง รวมถึงภาระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
สำหรับแนวทางการจะยืดหนี้กฟผ. ออกไปจากเดิม 5 งวด ถือเป็นแนวทางลดค่าไฟฟ้าได้เร็วสุด แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะชำระหนี้คืนให้ กฟผ.แน่นอน
นอกจากนี้ ยืนยันว่าจะดูแลค่าไฟฟ้าต่อถึงปี 2567
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ระบุว่า สำนักงาน กกพ. ได้รายงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อทราบมติ ครม. ดังกล่าวแล้ว
โดย กกพ. จะเร่งปฏิบัติตามมติ ครม. โดยเร็วเพื่อไม่ให้ประชาชนเสียประโยชน์ เพื่อให้เป็นไปตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุม ครม. ครั้งแรกของรัฐบาลชุดใหม่ โดย ครม. มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ลงเหลือในอัตรา 4.10 บาทต่อหน่วย
อย่างไรก็ดี สำนักงาน กกพ. จะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ,การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ,การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือปตท. เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการให้ตรงตามเจตนารมณ์ในมติ ครม. โดยคาดว่าจะดำเนินการนำเสนอ กกพ. ให้แล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มติที่ประชุม กกพ. ครั้งที่ 34/2566 (ครั้งที่ 862) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ได้มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเรียกเก็บงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 จำนวน 66.89 สตางค์ต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเรียกเก็บในงวดอยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย และให้มีผลตั้งแต่รอบบิลเดือนกันยายน 2566 เป็นต้นไป