ลดค่าไฟต่ำกว่า 3.99 บาทต่อหน่วยสามารถทำได้อีก เป็นความคิดเห็นของพรรคก้าวไกล โดยนายศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งแสดงความเห็นผ่านเพจ “พรรคก้าวไกล – Move Forward Party” โดยมีข้อความระบุว่า ค่าไฟลดลงแล้ว แต่ลดกว่านี้ได้อีก หากรัฐบาลกล้าเรียกเอกชนมาเจรจา แก้ไขสัญญาลดค่าพร้อมจ่าย ไม่ให้ประชาชนต้องจ่ายไฟแพงประเคนนายทุนโรงไฟฟ้า
นายศุภโชติ ระบุว่า ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (18 ก.ย.) รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานผลการหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระบุสามารถลดค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทันทีในรอบบิลเดือนกันยายน 2566 เรื่องนี้ต้องยินดีกับพี่น้องประชาชนทุกคน การตรึงค่าไฟและยืดหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นสิ่งที่ทางพรรคก้าวไกลเห็นด้วย ว่าควรทำในระยะเร่งด่วนนี้
แต่การกระทำนี้ไม่สามารถตอบโจทย์การทำให้ค่าไฟลดลงในระยะยาว แถมยังซ่อนความน่ากลัวเอาไว้หากไม่มีมาตรการอื่นมาทดแทน เนื่องจากในปัจจุบัน แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติที่มีแต่สูงขึ้น ก้อนหนี้ที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และอีกไม่นานเมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้ ตอนนั้นอาจต้องควักเงินจากกระเป๋าประชาชนมาจ่ายมากกว่าเดิม
“ปัจจุบันเหมือนเป็นการโยกกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา การกระทำแบบนี้เหมือนเล่นกับความคาดหวัง ความหวังที่ราคาก๊าซธรรมชาติจะถูกลง จากนั้นค่อยคืนหนี้ กฟผ. ผมกลัวว่าถ้าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด กฟผ. จะมีสถานะเหมือนกับการรถไฟไทยฯ ที่หนี้สินล้นพ้นตัว และความน่าเชื่อถือจากนักลงทุนก็จะลดลงไปด้วย”
อย่างไรก็ดี หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะมองถึงปัญหาที่ต้นตอและคิดหาวิธีการทำให้ราคาค่าไฟ นอกจากจะถูกลงอย่างยั่งยืน ยังเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชนอีกด้วย โดยเห็นว่ามี 3 เรื่องที่ควรทำ คือ
นอกเหนือจากการยืดหนี้ที่ควรจะทำในระยะเร่งด่วนนั้น คิดว่าการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ลดลงอย่างยั่งยืนได้ เนื่องจากปัจจุบันก๊าซราคาถูกที่ขุดจากอ่าวไทย ถูกนำไปให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ก่อน
ส่วนก๊าซที่นำมาผลิตไฟฟ้าให้ประชาชนใช้ มาจากก๊าซอ่าวไทยที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้เหลือและก๊าซที่มาจากการนำเข้าซึ่งมีราคาแพงมาก เท่ากับตอนนี้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ถูก ประชาชนใช้แพง ดังนั้น หากนำ 2 ส่วนนี้มาถัวเฉลี่ยกัน จะสามารถทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่นำไปผลิตไฟฟ้าให้ประชาชน ถูกลงได้มากกว่าปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งให้มีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่รัฐเคยทำโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ภาคเอกชนเพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาการมีจำนวนโรงไฟฟ้าเกินความจำเป็น ส่งผลให้ปริมาณสำรองไฟฟ้ามากเกิน ทำให้บางโรงที่แทบไม่ต้องผลิตไฟฟ้าหรือไม่ได้เดินเครื่องเลยตลอด 1 ปี กลับได้เงินผ่านค่าความพร้อมจ่ายนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาสัญญา 25 ปี ซึ่งในปีที่ผ่านๆมา ประชาชนต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่ายนี้ที่แฝงอยู่ในค่าไฟของพี่น้องประชาชนทุกคนให้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องกว่าเกือบหมื่นล้านบาทต่อปีฟรีๆ
นายศุภโชติ กล่าวอีกว่า ตนและพรรคก้าวไกลจึงคิดว่าการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้น เป็นมาตรการที่รัฐบาลควรทำเพื่อลดต้นทุนค่าไฟให้กับพี่น้องประชาชนในระยะยาวได้อีกวิธี เนื่องจากที่ผ่านมา มีหลายบริษัทเอกชนมักอ้างการระบาดของโควิด-19 เป็นเหตุสุดวิสัยในการขอเจรจาสัญญาสัมปทานใหม่กับทางภาครัฐ ดังนั้น เมื่อประกอบกับช่วงโควิดมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยลง ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ตอนคิดจะสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านี้ รัฐบาลก็ควรสามารถใช้เหตุผลเดียวกันนี้ ในการขอเจรจากับเอกชนเพื่อลดค่าความพร้อมจ่ายลงไปก่อน
จากที่กล่าวมาทั้ง 3 วิธี พรรคก้าวไกลเห็นว่าสามารถลดค่าไฟได้ทันทีอย่างน้อย 70 สตางค์ต่อหน่วย ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ทั้งเป็นวิธีที่มีความยั่งยืนและเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน