นายพิเชษฐ์ ชูชื่น อดีตผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าจะนะ และบางปะกง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กลุ่มอดีตผู้ปฏิบัติงาน กฟผ.และภาคประชาชนเตรียมที่จะยื่นหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อให้เร่งพิจารณาใน 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย
นายธรรมยุทธ สุทธิวิชา อดีตสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจกฟผ.(สร.กฟผ.) กล่าวว่า สำหรับในเรื่องค่าไฟฟ้าแพงนั้นในความเป็นจริงต้นกำเนิดเกิดมาจากในอดีตภาครัฐและกระทรวงพลังงานเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทและกำหนดนโยบายในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้ามากเกินไปโดยขาดการสร้างความสมสมดุลย์ด้าน Demand และ Supply จะเห็นจากปัจจุบัน Supply มีมากกว่า Demand เกินครึ่งหนึ่ง ซ้ำยังกำหนดให้ กฟผ. ทำสัญญาจ่ายค่าความพร้อมและอื่น ๆ ตลอดจนปล่อยปละละเลยกำหนดนโยบายให้ใช้พลังงานหมุนเวียนมากเกินไปโดยอ้างปัญหาโลกร้อนและไปลงนามสัญญาร่วมกับประเทศต่าง ๆ โดยไม่ดูข้อจำกัดต่าง ๆ ภายในประเทศเหล่านี้ระยะต่อไปจำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขปัญหา
ค่าไฟที่รมว.พลังงานได้มีนโยบายปรับลดลงนั้นเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ปัญหาจะไม่สามารถถูกแก้ได้อย่างยั่งยืนแน่นอน ดังนั้นต้องแก้ไขที่ต้นเหตุคือการแก้ไขสัญญาที่รัฐเสียเปรีบกับเอกชนใหม่ เช่นค่าความพร้อมจ่าย เป็นแก้ไขสัญญาให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐและประชาชนสำหรับรายใหม่ สร้างความสมดุลย์ Demand และ Supply อย่างสมเหตุสมผล เปิดเสรีการนำเข้าเชื้อเพลิง GAS (LNG) และเสรีการซื้อขายไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการแข่งขันจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง กำหนดให้ภาคเอกชนสามารถขอใช้ท่อ Gas จาก ปตท. ได้โดยไม่มีเงื่อนไข โดยการสนับสนุนจากรัฐบาล ควรให้ กฟผ. เป็นองค์กรหลักในการนำเสนอและจัดทำแผน PDP เพื่อนำเสนอรัฐบาลได้อย่างถูกต้อง
นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ประชาชนได้ร้องเรียนที่ผ่านมาถึงผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่แพงจนเดือดร้อน และแม้ว่ารัฐบาลใหม่ได้ประกาศลดค่าไฟฟ้าลงในเดือนก.ย.-ธ.ค.66 ถือเป็นเรื่องดีแต่ต้องแก้ไขให้ยั่งยืนที่จะต้องปรับโครงสร้างพลังงานอื่น ๆ เช่นค่า AP การเปิดเสรีนำเข้าเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟ ฯลฯ