กรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีแนวคิดแก้ไขกฎหมาย เพื่อกำหนด ค่าการตลาดราคาน้ำมันทุกชนิดไม่เกิน 2 บาทต่อลิตร หากผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามจะมีการเพิ่มบทลงโทษหลังจากที่ผ่านมากระทรวงพลังงานเคยขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ในการกำหนดค่าตลาดที่มันเกิน 2 บาท แต่บางรายกลับมีค่าการตลาดสูงถึง 4 บาทต่อลิตร
"ฐานเศรษฐกิจ" ตรวจสอบพบว่า ค่าการตลาดน้ำมัน ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2566 ดังนี้
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า "ค่าการตลาด" คืออะไร
ค่าการตลาดคือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน
สำหรับโครงสร้างราคาน้ำมัน 1 ลิตรที่ขายในหน้าปั๊ม มีปัจจัยหลายตัวมาเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
ภาษีสรรพสามิต จัดเก็บโดย กระทรวงการคลัง ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต นำมาใช้เพื่อพัฒนาประเทศ
ภาษีเทศบาล จัดเก็บโดย กระทรวงการคลัง ในอัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต มาตรา 150 และจัดส่งให้ กระทรวงมหาดไทย เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น
ภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บ 7% ของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดเก็บอีก 7% ของค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน
เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน
โดยค่าการตลาดที่นายพีระพันธุ์หยิบยกขึ้นมาก็เป็นส่วนประกอบหนึ่ง
ต่อเรื่องดังกล่าวแหล่งข่าวอดีตผู้บริหารกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบนำเข้าน้ำมันแบบเสรี โดยมองว่าต้นทุนน้ำมันที่เป็นการขายปลีกจะกล่าวถึงแค่ค่าการตลาดเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ซึ่งหากยกตัวอย่างแบบง่าย ให้ลองมองไปที่ค่าเงินบาทในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา มีการอ่อนค่าจาก 30.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯมาอยู่ที่ประมาณ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งพียงแค่ปัจจัยดังกล่าวด้านเดียวก็ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในไทยขึ้นแล้วหลายบาท แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่ปรับตัวขึ้นก็ตาม
"เมื่อต้นทุนจากต่างประเทศขึ้น ย่อมส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในไทยสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่สงครามเองก็ยังไม่มีข้อยุติ หากไปคุมค่าการตลาดจาก 3 บาทต่อลิตรให้เหลือ 2 บาทต่อลิตร ราคาขายหน้าปั๊มก็จะลดลงแค่เพียง 1 บาท แต่เวลาน้ำมันตลาดโลกขึ้นจริงส่วนใหญ่จะครั้งละ 5 บาท"
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องการนำเสนอก็คือ ควรเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากรอบด้าน โดยปัจจุบันมีการแข่งขันที่เสรีอยู่แล้ว และเป็นการแข่งขันที่แท้จริง จนทำให้บางบริษัทต้องขายบริษัทอย่างที่เป็นข่าว
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่นายพีระพันธุ์ต้องการจะดำเนินการ เป็นขั้นตอนของกฎหมายซึ่งคงไม่ได้เกิดขึ้นในทันที ต้องผ่านกระวบการออกกฎหมาย และเข้าสู่กระบวนการของสภาฯ ถึงจะออกมาเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.)
หากถามว่าต้องการแก้ปัญหาน้ำมันแพงจะต้องทำอย่างไรนั้น มองว่าต้องใช้หลายวิธีประกอบกัน เช่น ส่งเสริมให้มีการประหยัด รวมถึงต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยว่าราคาน้ำมันเป็นสินค้าที่ไม่สามารถควบคุมได้แบบ 100% เพราะเป็นการนไเข้าจากต่างประเทศ 80-90% เวลาที่นำมันขึ้นซึ่งก็ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 2-3 ปีจากภาวะสงคราม และโอเปกที่จำกัดการผลิต ซึ่งทำให้มีความต้องการมากกว่าปริมาณ เพราะฉะนั้นก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าราคาน้ำมันยังคงต้องอยู่ในระดับสูงต่อไป
"ตนมีข้อสังเกตุ หรือจะเรียกว่าสงสัยก็ได้ว่า การเก็บเงินชดเชยน้ำมันดีเซลไว้มาก และมีการชี้นำค่าการตลาดดีเซลในระดับต่ำ ทำให้มีการชดเชยข้ามกลุ่ม ซึ่งหมายความว่ามีการเก็บภาษีเบนซินจำนวนมาก เพื่อนำมาอุดหนุนดีเซล กับ LPG ทำให้ราคาเบนซินยิ่งแพงขึ้น หากมีการแยกการสนับสนุนราคาน้ำมันเบนซินก็คงไม่แพงขนาดนี้"
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับด้วยว่าส่วนหนึ่งที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นมาจากการที่ค่าเงินบาทอ่อน และราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ได้ลดลง ขณะที่ภาษีเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ก็ไม่ได้มีการปรับลด ดังนั้น จึงต้องมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นรายได้เดียวเพื่อช่วยพยุงด้วยการนำไปชดเชยราคาน้ำมันดีเซล และLPG โดยในระยาวจะส่งผลทำให้เกิดการก่อหนี้สะสม ซึ่งควรได้รับการพิจารณา
สำหรับประเด็นเรื่องค่าการตลาดที่จะควบคุมนั้น ตนไม่ขอแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด แต่ประเด็นที่ต้องการจะสื่อก็คือปัจจุบันค่าการตลาดมีการชี้นำจากองค์กร หรือหน่วยงานจากภาครัฐอยู่ โดยค่าการตลาดที่ประกาศโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงานเป็นเพียงค่าการตลาดเงามากกว่า ไม่ใช่ค่าการตลาดจริง ซึ่งหากจะเปรียบก็คือเสมือนตั๋วเครื่องบิน โดยหากซื้อล่วงหน้า 3 เดือนและไม่เปลี่ยนเที่ยวบินจะได้ราคาถูก แต่หากซื้อแบบทันทีแล้วเดินทางก็จะได้อีกราคาหนึ่ง
"ผู้ค้าน้ำมันเองบางครั้งก็มีลูกค้าชั้นดี ลูกค้าขาจร หรือลูกค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่าย (Jobber) ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่านำรถมารับเอง หรือต้องนำไปส่งให้ ทำให้มีราคาที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นค่าการตลาดจึงเปรียบเสมือนเป็นการแบ่งกลุ่มลูกค้า ไม่ใช่ว่าจะขายทุกเจ้าราคาเท่ากันหมด ซื้อจำนวนมากก็ได้ส่วนลด โดยเป็นกลยุทธืการขายของแต่ละเจ้า"
นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR) ระบุว่า ปัจจุบันค่าการตลาดน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลที่โออาร์ได้รับไม่ได้สูงตามที่ถูกวิจารณ์ ไม่ถึง 3 บาทต่อลิตร โดยปัจจุบันโออาร์ได้เฉลี่ย 2 บาทต่อลิตรเท่านั้น
ส่วนสาเหตุที่ค่าการตลาดที่โออาร์ได้รับและสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กำหนดต่างกันมาจากสูตรราคาที่ต่างกัน โดยโออาร์มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากสูตรที่ สนพ.กำหนด
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 โดยค่าการตลาดจะกลับมาเท่ากัน เพราะประเทศไทยจะบังคับใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร5 ที่คุณภาพน้ำมันจะดีขึ้นเพราะเหลือระดับ 10 พีพีเอ็ม จากปัจจุบันระดับ50 พีพีเอ็ม
นอกจากนี้ สนพ.ยังอยู่ระหว่างให้ที่ปรึกษาเข้าพิจารณาต้นทุนค่าการตลาดใหม่คาดจะชัดเจนเดือนพฤศจิกายนนี้
อย่างไรก็ดี ขอยืนยันว่าโออาร์ไม่ได้เอาเปรียบประชาชน ไม่คดโดง การปรับราคาขี้นลงได้หารือกับกรมธุรกิจพลังงานทุกครั้ง อย่างข้อมูล สนพ. ที่แจ้งโครงสร้างราคาน้ำมันรายวัน น้ำมันเบนซินค่าการตลาด 3.20-3.30 บาทต่ลิตร แต่โออารได้จริง 1.90-2.00 บาทต่อลิตร ส่วนต่าง 1.20-1.30 บาทต่อลิตร และเคยสูงสุดถึง 1.60 บาทต่อลิตร
ขณะที่ดีเซลค่าการตลาดโออาร์และสนพ.ใกล้เคียงกันอยู่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร เพราะมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีกำกับใกล้ชิด
"ยืนยันว่าประเด็นเรื่องค่าการตลาด 2 บาท ไม่กระทบ OR"